แอลจี อีเลคทรอนิคส์ อิงค์ (แอลจี) ประกาศยอดขายรวม 13.27 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 4.38 แสนล้านบาท) และผลกำไร 801.25 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 2.64 หมื่นล้านบาท) สำหรับไตรมาสแรกของปี 2562 แม้ว่าผลประกอบการโดยรวมและรายได้จากการดำเนินงานจะลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2561 กลับเป็นปีที่กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านทำสถิติรายงานยอดขายและกำไรไตรมาสแรกสูงที่สุด ซึ่งรายได้จากการดำเนินงานนั้นได้เพิ่มขึ้นถึง 1,090% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 สะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้นในทุกๆ กลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัท
กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องปรับอากาศ มีรายได้ประจำไตรมาสที่ 1 ที่ 4.86 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 1.6 แสนล้านบาท) และกำไรที่ 647.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 2.14 หมื่นล้านบาท) ซึ่งเป็นรายได้และกำไรประจำไตรมาสสูงสุดในประวัติศาสตร์ของแอลจี ยอดขายที่แข็งแกร่งในยุโรปและเอเชียทำให้อัตราการเติบโตถึง 11% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และ 26% ในช่วงไตรมาสเดียวกัน จากยอดขายผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมที่กำลังเติบโต โดยเฉพาะในตลาดเกาหลีเอง กำไรที่เติบโตกว่า 30% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วนั้นมาจากความนิยมของผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการเติบโตสูง ไม่ว่าจะเป็น Styler เครื่องอบผ้า เครื่องฟอกอากาศ และเครื่องดูดฝุ่น พร้อมกับการลดค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
กลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ รายงานรายได้ประจำไตรมาสที่ 1 ที่ 3.58 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ(หรือประมาณ 1.18 แสนล้านบาท) และกำไรที่ 308.27 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 1.02 หมื่นล้านบาท) ซึ่งลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วเพียง 3% ซึ่งเป็นผลจากดีมานด์ที่ลดลงของช่วงฤดูกาลและไม่มีการแข่งขันกีฬาระดับโลก รายได้พุ่งทะยานจากไตรมาสก่อนหน้านี้ซึ่งมาจากประสิทธิภาพของการตลาดที่ดีขึ้นและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างค่าใช้จ่ายของบริษัท ทางบริษัทยังคาดการณ์ว่าการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมมากมายในปี 2019 ไม่ว่าจะเป็น OLED TV, NanoCell TV และ Ultra HD TV ที่มีจอขนาดใหญ่ จะสร้างโอกาสในการเพิ่มยอดขายในไตรมาสที่ 2
กลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ ประกาศรายได้ประจำไตรมาสที่ 1 ที่มูลค่า 1.34 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ(หรือประมาณ 4.42 หมื่นล้านบาท) และลดยอดการขาดทุนเหลือเพียง 181.05 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 5.97 พันล้านบาท) จากความมุ่งมั่นในการสร้างธุรกิจโทรศัพท์มือถือของบริษัท นอกจากนี้ ผลประกอบการโดยรวมนั้นดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นผลจากโครงสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้น บริษัทคาดว่าในอนาคต การเปิดตัวของสมาร์ทโฟนรุ่น LG V50ThinQ 5G จะสร้างโมเมนตัมในทิศทางบวกให้กับไตรมาสที่ 2 ประกอบกับการย้ายศูนย์การผลิตสมาร์ทโฟนจากเปียงเตก เกาหลี สู่เมืองไฮฟง เวียดนาม เพื่อเพิ่มกำไรและความสามารถในการแข่งขันระดับโลกของแอลจีในช่วงครึ่งปีหลัง
กลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ สร้างรายได้ในช่วงไตรมาสที่ 1 ที่ 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 3.96 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 61 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ยอดขายที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มบริษัท ZKW มาจากการปรับผลประกอบการองค์รวม แม้ว่าต้นทุนวัตถุดิบและค่าใช้จ่ายการผลิตนั้นสูงขึ้นมากสำหรับโครงการใหม่ๆ ของบริษัท เทรนด์ตลาดรถยนต์ทั่วโลกยังเกี่ยวข้องกับราคาเชื้อเพลิงที่ลดต่ำลงและยอดขายรถยนต์และเอสยูวีพรีเมียมที่เพิ่มขึ้น สร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์ของแอลจี
กลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กร ชี้แจงผลประกอบการในช่วงไตรมาสที่หนึ่งที่ 556.58 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือ ประมาณ 1.84 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลง 3% จากไตรมาสแรกของปีที่แล้ว ทว่ากำไรมูลค่า 49.38 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 1.63พันล้านบาท) นั้นเติบโตกว่า 272% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลง 3% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว เนื่องจากผลกระทบของภาษีที่สหรัฐฯ กำหนดเกี่ยวกับการนำเข้าแผงโซลาร์และราคาที่ลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องในตลาดสำคัญหลายแห่งทั่วโลก ในธุรกิจจอดิจิทัลเชิงพาณิชย์ยังมุ่งสร้างกำไรอย่างต่อเนื่องด้วยการขยายยอดขายของจอแสดงผลระดับพรีเมียมและกลุ่มผลิตภัณฑ์ LED ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของไตรมาสที่ 1 ปี 2562รายได้ที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบด้านบัญชีประจำไตรมาสของแอลจี อีเลคทรอนิคส์เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ IFRS (International Financial Reporting Standards) สำหรับช่วงสามเดือน สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2562 โดยอัตราแลกเปลี่ยนของเงินเหรียญสหรัฐฯ อยู่ที่ 33 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐฯ (ตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของธนาคารแห่งประเทศไทย)