โดย Juan Mi Pung
ใครหลายคนที่ใช้แอนดรอยด์อาจจะเคยพบปัญหาแบตเตอรี่หมดเร็วกว่าที่ควรจะเป็น เพราะว่าถูกใช้งานไปกับแอปพลิเคชั่นหลายๆอย่างที่ไม่จำเป็น รวมถึงการรับส่งข้อมูลผ่านช่องทางต่างๆ วันนี้คุณอาจยืดอายุแบตเตอรี่ออกไปได้เกือบเท่าตัวเพียงหันมาใช้โปรแกรมที่ผมจะแนะนำในวันนี้
โปรแกรมตัวนี้มีชื่อว่า JuiceDefender ครับ ซึ่งจะช่วยจัดการทรัพยากรในอุปกรณ์แอนดรอยด์ได้เป็นอย่างดี สามารถดาวน์โหลดได้ที่ Market เหมือนแอปพลิเคชันทั่วไป ซึ่งโปรแกรมนี้ทางผู้พัฒนาให้เราใช้กันได้ฟรีครับ แต่ก็จะมีเวอร์ชันเสียเงินซึ่งเพิ่มคุณสมบัติหลายอย่างเข้าไปด้วย
หลักการทำงานของมันก็คือจะตัดฟังก์ชันการทำงานที่ทำให้สิ้นเปลืองแบตเตอรี่ออกเมื่อไม่จำเป็น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคุณทิ้งโทรศัพท์ไว้จนหน้าจอดับไป JuiceDefender ก็จะจัดการปิด Data Connection (2G/3G/4G) และ Wi-Fi ให้โดยอัตโนมัติ เมื่อคุณกลับมาใช้งานอีกครั้งมันก็จะเชื่อมต่อให้ตามปกติ นอกจากนี้ยังช่วยลดภาระการทำงานของซีพียูและเพิ่มพื้นที่แรมว่างได้ไม่น้อยเลยครับ
แต่อันนี้ก็ต้องระวังเพราะบางคนที่ใช้งานที่ต้องมีการรับส่งข้อมูลต่อเนื่องก็ควรจะสั่งปิด (Disabled) แอปตัวนี้เมื่อต้องการฟังวิทยุออนไลน์ หรือดาวน์โหลดไฟล์ต่างๆ มิฉะนั้นอาจหงุดหงิดได้ครับ แต่ก็อาจจะเลือกเพิ่มโปรแกรมที่ต้องการใช้งานได้ อย่างพวก Pandora เป็นต้น
สำหรับรุ่น UltimateJuice นั้นจะสามารถกำหนดได้ว่าจะให้ควบคุมการทำงานแอปพลิเคชั่นที่ต้องการสตรีมมิ่งตัวใดบ้างแบบเจาะจง ซึ่งถ้าคุณเห็นว่าช่วยประหยัดได้แบตเตอรี่ไปได้ ค่าอัพเกรดก็ถือว่าไม่แพงเกินไปเลยครับ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ควบคุมการใช้ Wi-Fi ในแต่ละสถานที่ ตั้งค่าช่วงเวลา (Schedule) ได้ละเอียดขึ้น จัดการรูปแบบโปรไฟล์ ควบคุมความเร็วซีพียู ความสว่างหน้าจอ ฯลฯ
หลังจากติดตั้งโปรแกรม ให้คุณกดเลือก Enabled บนแท็บ Status เพื่อให้ JuiceDefender เริ่มทำงาน (จะเห็นไอค่อนรูปโล่ปรากฏอยู่ที่มุมจอ) เพียงเท่านี้โปรแกรมก็จะช่วยคุณเซฟแบตเตอรี่โดยไม่ต้องพกแบตสำรองอีกต่อไป ซึ่งปกติโปรแกรมจะตั้งค่าให้แบบอัตโนมัติ
ด้านล่างจะเห็นรูปแบบ (Profile) ซึ่งปกติจะเป็น Default ซึ่งก็เหมาะสมดี หากไม่ต้องการอะไรพิเศษก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนก็ได้ครับ นอกจากนี้ยังมี Aggressive (ประหยัดไฟกว่า) และ Extreme (ประหยัดสุดๆ) เอาไว้ให้เลือกตามความต้องการ
แต่ผมจะแนะนำคุณสมบัติต่างๆกันเล็กน้อย หากคุณต้องการปรับแต่ง ก็ให้เลือกรูปแบบเป็น Customize จากนั้นไปที่แท็บ Settings จะมีตัวเลือกหลากหลาย เช่น
Schedule สามารถเปิดให้อุปกรณ์ของคุณเชื่อมต่อเพื่อรับส่งข้อมูลได้ทุกๆ 15 หรือ 30 นาที เพื่อรับอีเมล์ หรือการแจ้งเตือนต่างๆ ของ Facebook, Twitter ได้ตามปกติ และยังสามารถเลือก Night กำหนดให้ปิดการเชื่อมต่อตลอดเวลาในตอนกลางคืนที่คุณพักผ่อน หรือ Peak กำหนดให้เชื่อมต่อตลอดเวลาในช่วงที่จำเป็น
Battery ปิดการเชื่อมต่อเมื่อระดับแบตเตอรี่ต่ำกว่าที่กำหนด เพื่อใช้สำหรับการโทรศัพท์เพียงอย่างเดียว
Location ใช้สั่งปิด Wi-Fi เมื่ออยู่นอกขอบเขตสัญญาณที่เราเคยเชื่อมต่อ ดังนั้นถ้าไปเจอเครือข่ายใหม่ๆ ก็จะต้องสั่งให้โปรแกรมเชื่อมต่อเอาเองนะครับ
Traffic ให้เปิดการเชื่อมต่อเอาไว้เมื่อมีการรับส่งข้อมูลแบบต่อเนื่อง เช่น การซิงค์ข้อมูล การดาวน์โหลด/อัพโหลด เป็นต้น จนกว่าจะเสร็จสิ้นจึงค่อยพักการทำงาน
Apps เลือกโปรแกรมที่ต้องการให้อุปกรณ์เชื่อมต่อกับเครือข่ายตลอดเวลา เช่น แอปพลิเคชันวิทยุออนไลน์ ให้กำหนดเป็น Enable/screen off หรือโปรแกรมที่ไม่ต้องการให้เชื่อมต่อกับเครือข่ายตลอดเวลา เช่น โปรแกรมที่ใช้งานแบบออฟไลน์ เกมต่างๆ ก็ให้เลือกเป็น Disable
มี Widget แสดงรายละเอียดการทำงานด้วย
ไอค่อนแสดงสถานะต่างๆของโปรแกรม
เมนูสำหรับคนชอบปรับแต่งตามความต้องการ
โปรแกรมนี้รองรับ 4G และสามารถเลือกได้ว่าต้องการให้เชื่อมต่อ 4G หรือ Wi-Fi เป็นอันดับแรก ซึ่งน่าเสียดายที่เมืองไทยยังไม่มีให้บริการครับ
แต่ถ้าต้องการปรับให้ละเอียดยิ่งขึ้นอีก ก็เพียงแค่เลือก Advanced ซึ่งผมคิดว่าผู้ใช้มือโปรจริงๆ แล้วน่าจะเข้าใจว่าเมนูแต่ละตัวเอาไว้ทำอะไร
ตั้งค่าได้หลากหลายเมื่ออยู่ในโหมด Advanced การควบคุม APN, Wi-Fi, Screen, Schedule, Night, Battery Level, Connecting Schedule Time ฯลฯ
สำหรับรุ่น Ultimate ก็แน่นอนครับว่าสามารถตั้งได้ละเอียดกว่า เช่น ล็อคความเร็วซีพียูต่ำสุด-สูงสุด กำหนดค่าสำหรับแอปพลิเคชั่นแต่ละตัว ควบคุม Bluetooth และ GPS ตั้งค่าสำหรับช่วง Peak ที่ต้องการให้เชื่อมต่อตลอดเวลาแม้หน้าจอจะดับอยู่ก็ตาม เป็นต้น
ส่วนนี้เป็น Juice Plotter แสดงรายละเอียดปริมาณแบตเตอรี่คงเหลือในแต่ละช่วงเวล่ในรูปแบบกราฟเส้น
ฝากเอาไว้นิดว่าการจะประหยัดแบตเตอรี่ได้มากน้อยขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของผู้ใช้เอง ถ้าคุณใช้งานแบบปานกลางถึงน้อย ก็น่าจะประหยัดแบตไปได้มาก แต่หากคุณใช้กระหน่ำทั้งวัน โปรแกรมไหนๆก็คงช่วยไม่ได้
อย่างไรก็ตามการปรับลดความสว่างหน้าจอ รวมถึงปิด GPS และ Bluetooth เมื่อไม่ใช้งานก็ทำให้ประหยัดพลังงานได้เช่นกัน สำหรับวันนี้สวัสดีครับ