โดย เปี๊ยก ว.2
ปรินเตอร์นับเป็นอุปกรณ์ไอทีอีกชนิดหนึ่งที่คนทั่วไปรู้สึกว่ามันเลือกซื้อยากพอๆ กับพีซีหรือโน๊ตบุ๊คเลยทีเดียว แม้แต่คนไอทีเองบางครั้งก็เลือกไม่ถูกหรือแนะนำได้ไม่ตรงใจคนซื้อ ไฉนถึงเป็นเช่นนั้น แล้ว PCToday มีคำแนะนำในการเลือกซื้อปรินเตอร์ดีๆ มั้ยล่ะ…มีแน่ครับ
จริงๆ แล้วปรินเตอร์ก็เหมือนกับอุปกรณ์ไอทีอื่นๆ คือถ้ารู้ความต้องการของเรา และรู้ความสามารถของสิ่งที่ต้องการซื้อ (ราคาก็มีส่วนนะ) ก็น่าจะหาจุดดุลยภาพได้ หลายๆ คนดูจะมีปัญหากับการเลือกซื้อปรินเตอร์ อย่างแรกคือเพราะไม่รู้ว่าจะซื้อปรินเตอร์ไปทำอะไรบ้าง แน่นอนว่าเวลาเราจะซื้อปรินเตอร์ (เช่นเดียวกับสิ่งของอย่างอื่นน่ะครับ) เราย่อมต้องมีเหตุผลอยู่ในใจซักข้อ เช่นว่า ซื้อไปปรินท์งานทำรายงาน ปรินท์รูป หรือใช้ประกอบธุรกิจ แต่ปัญหามักจะเกิดเมื่อคิดเลยไปถึงเผื่อในอนาคต จริงๆ การคิดเผื่อขาดเผื่อเหลือเป็นเรื่องดีครับ แต่มันต้องอยู่ในกรอบของเหตุผลและความเป็นไปได้ ถ้าปกติใช้พิมพ์รายงานหรืองานเอกสารเป็นหลัก แต่นึกๆ ไปก็อยากได้ที่ปรินท์สีได้…อ๊ะๆๆ เอาที่ปรินท์รูปได้เลยดีมั้ย…เอ้อ เอาแบบที่มีพอร์ต Ethernet ด้วยก็ดีจะได้แชร์ปรินเตอร์ได้…อื้อ เอาเป็น All-in-one ไปเลยกว่ามั้ย เห็นมั้ยครับว่าถ้าคิดมากไปมันก็จะยิ่งบานปลาย
ปัญหาอย่างที่สองคือไม่รู้เกี่ยวกับปรินเตอร์ ไอ้ปัญหาอย่างแรกนั้นมันเกิดกับคนซื้ออย่างเดียว แต่ข้อนี้อาจเกิดได้กับทั้งคนซื้อและคนขายซึ่งถ้าเป็นอย่างหลัง…ก็กรรมล่ะครับ คนซื้ออย่างเราๆ ท่านๆ นั้นควรจะมีความรู้เกี่ยวกับปรินเตอร์ติดพกก่อนออกจากบ้านไปซื้อปรินเตอร์ ผมแปลกใจที่คนจำนวนไม่น้อยนึกอยากซื้อปรินเตอร์ก็บึ่งออกจากบ้านไปซื้อเลย แต่เวลาจะซื้อคอมฯ (โดยเฉพาะโน๊ตบุ๊ค) หรือมือถือเนี่ยจะได้เวลาศึกษาค่อนข้างนาน…ซึ่งก็เป็นเรื่องดี บางคนอาจจะบอกว่าก็โน๊ตบุ๊คกับมือถือราคามันไม่ใช่ถูกๆ นิ…จะซื้อทีต้องคิดหนักๆ นั่นแหละครับคือสิ่งที่ผมอยากให้ทุกท่านทำก่อนออกจากบ้านไปซื้อปรินเตอร์ ของมันจะถูกจะแพง…แต่มันก็คือเงินทั้งนั้นล่ะครับ
หลายคนบอกว่าไม่จำเป็นต้องหาศึกษาหาข้อมูลก่อนหรอก เดี๋ยวพนักงานขายก็ช่วยอธิบายช่วยแนะนำให้เองแหละ ถ้าไปเจอคนที่รู้จริงผมไม่เถียงเลยครับ แต่ใครจะรู้ว่าพนักงานขายที่เราไปเจอจะรู้มากกว่าเราซักแค่ไหน พี่ๆ น้องๆ เซลล์อย่าเพิ่งโกรธนะครับ…มันไม่ใช่อย่างนั้นซะหมด ทว่าผมต้องพูดเพราะมันมีความเป็นไปได้และถ้าคนซื้อไปเจอคนขายที่ไม่ได้มีความรู้มากกว่ากันเท่าไหร่ ความหวังสุดท้ายก็จะอยู่ที่แผ่นโฆษณาหรือโบรชัวร์ ทีนี้พอซื้อมาแล้วจะถูกใจหรือเปล่าก็ไม่มีใครรู้จนกว่าจะเริ่มใช้…ซึ่งบางทีก็สายไปแล้ว จริงๆ ที่ปรินเตอร์ไม่ได้เลือกซื้อยากหรอกครับ ประเด็นอยู่ที่จะเลือกอย่างไรให้เหมาะสมกับความต้องการหรือการใช้งานมากกว่า PCToday มีคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ยากเกินไปมาบอก อ่านแล้วลองดูนะครับว่าจะช่วยให้การเลือกซื้อปรินเตอร์เป็นไปได้อย่างราบรื่นขึ้นหรือเปล่า
2 คิด…10 รู้ สู่การเลือกซื้อปรินเตอร์แบบมืออาชีพ
คิด 1 คิดถึงความต้องการของตัวเอง
อย่างที่บอกไปว่าปัญหาหนึ่งที่ทำให้การเลือกซื้อปรินเตอร์เป็นเรื่องยากคือคนซื้อไม่รู้ความต้องการที่แน่ชัดของตัวเอง เวลาจะซื้อปรินเตอร์และของอื่นๆ นั้นขอให้คิดถึงความต้องการใช้งาน ณ ปัจจุบันก่อนเป็นอันดับแรก เพราะของที่ซื้อมาย่อมต้องซื้อมาใช้งาน…ไม่ใช่ซื้อมาเก็บ นอกจากว่าความต้องการคือซื้อมาเพื่อเก็บไว้จริงๆ แล้วความต้องการนั้นคืออะไรล่ะ ในกรณีของปรินเตอร์ของคิดย้อนไปจากอดีตจนถึงปัจจุบันว่าเราปรินท์อะไรบ้าง งานเอกสารขาวดำ ปรินท์สี ปรินท์รูป แล้วพยายามนึกต่อไปว่าแต่ละอย่างนั้นมีสัดส่วนเท่าไหร่ เช่น ปรินท์งานเอกสารขาวดำมากที่สุด รองลงมาคือปรินท์สี หรือเอาแบบง่ายที่สุดคือให้คิดเฉพาะว่าเราปรินท์แบบไหนบ่อยที่สุด…แล้วมันจะนำไปสู่ปรินเตอร์แบบที่เราต้องการจริงๆ
ส่วนการคิดเผื่อใช้งานในอนาคตนั้นถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องคิด เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วเราจะคิดไปถึงงานพิมพ์ที่แตกต่างจากความต้องการปัจจุบัน ซึ่งมักจะนำไปสู่ปรินเตอร์อีกประเภทหนึ่ง ให้คิดซะว่าถ้าเกิดต้องใช้จริงๆ แต่ไม่มากมายก็ค่อยไปจ้างเค้าปรินท์ แต่ถ้าต้องใช้มากๆ ก็ค่อยไปซื้อมันก็ไม่สายเกินไป เพราะใครจะรู้ว่าในอนาคตอาจจะมีเทคโนโลยีใหม่ที่ดีกว่าเก่าหรือราคาอาจจะลดลงจากปัจจุบันเสียอีกก็เป็นได้
คิด 2 อิงค์เจ็ตหรือเลเซอร์
จริงๆ ปรินเตอร์มีหลายแบบมากกว่าแค่อิงค์เจ็ตหรือเลเซอร์ แต่ปรินเตอร์ที่นอกเหนือจากนี้นั้นเหมาะจะเอาไปใช้งานเฉพาะทางของมันมากกว่า เช่น Dot Matrix นั้นจะเหมาะกับกระดาษต่อเนื่องซึ่งเราไม่ได้ใช้กันในชีวิตประจำวัน ปรินเตอร์อิงค์เจ็ตและเลเซอร์นั้นสามารถตอบสนองงานได้หลายประเภทมากกว่าและสนนราคาก็จับต้องได้มากกว่าด้วย
– อิงค์เจ็ต
ปรินเตอร์แบบอิงค์เจ็ตนั้นเหมาะกับงานทั่วไปแทบทุกประเภท แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นในด้านใดซักด้าน พูดง่ายๆ คือเก่งเรื่องงานจับฉ่ายแต่เอาดีซักด้านไม่ค่อยได้ อย่าเพิ่งคิดว่าปรินเตอร์อิงค์เจ็ตไม่ดีนะครับ เพราะมันมีตั้งแต่ราคาถูกขนาดที่ว่าซื้อโน๊ตบุ๊คก็มีแถมให้ฟรีๆ ไปถึงเรือนหมื่น คนหัวเก่าๆ อาจจะคิดว่าอิงค์เจ็ตนั้นจะได้งานที่ไม่คมชัดไม่มีคุณภาพ แต่นั้นก็ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย โดยหลักๆ อยู่ที่เทคโนโลยีซึ่งทุกวันนี้ก้าวไปไกลว่าวันเก่าๆ มากแล้วทำให้ปรินเตอร์อิงค์เจ็ตก็สามารถปรินท์ออกมาได้คมชัดไม่แพ้เลเซอร์ แต่ส่วนหนึ่งก็อยู่ที่ตัวกระดาษที่เราใช้ด้วย ถ้ากระดาษเนื้อยุ่ยหรือมีขนก็มีความเป็นไปได้ที่งานออกมาจะไม่เรียบร้อย แต่ถ้าเลือกใช้ปรินเตอร์อิงค์เจ็ตดีๆ กับกระดาษดีๆ เราก็สามารถปรินท์ได้แม้กระทั่งรูปถ่ายระดับใกล้เคียงกับร้านถ่ายรูปเลยนะครับ และด้วยความที่มันสามารถพิมพ์ได้ทั้งงานสีและขาวดำทำให้มันสามารถใช้ได้กับงานทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นงานเอกสารยันพิมพ์รูปอย่างที่บอกไป
ข้อเสียของปรินเตอร์อิงค์เจ็ตถ้าไม่นับเรื่องคุณภาพที่ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย ก็จะมีเรื่องค่าใช้จ่ายที่เป็นปัญหามากที่สุด จริงอยู่ที่ตัวปรินเตอร์นั้นมีตั้งแต่ราคาถูกยันแพง แต่ตัวน้ำหมึกนั้นมีราคาค่อนข้างสูงโดยเฉพาะเมื่อคำนวณจากต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่น ยิ่งเราตั้งให้ปรินเตอร์ปรินท์ด้วยคุณภาพที่สูงเท่าไหร่มันก็จะยิ่งใช้น้ำหมึกมากเท่านั้น แต่ถ้าเราพยายามประหยัดหมึกผลคือคุณภาพงานก็จะลดลงไปด้วย ในบ้านเรานั้นมักจะแก้ปัญหาด้วยการติดแทงค์ ทว่าปัญหาคือมันจะมีผลต่อการรับประกัน ปรินเตอร์แบบอิงค์เจ็ตนั้นถ้าไม่ใช้งานนานๆ จะมีปัญหาเรื่องหมึกแห้ง หัวตัน ซึ่งต่อให้เป็นปรินเตอร์ราคาแพงขนาดไหน จะติดแทงค์หรือไม่ติดแทงค์ ก็ยังคงเป็นปัญหาอยู่เหมือนเดิม
สรุปว่าถ้าเน้นปรินท์งานทั่วไปไม่เน้นคุณภาพเลิศเลอ และใช้งานอยู่เป็นประจำ ปรินเตอร์อิงค์เจ็ตคือคำตอบสำหรับคุณครับ
เลเซอร์
ปรินเตอร์เลเซอร์นั้นใช้เทคโนโลยีต่างจากอิงค์เจ็ต คือแทนที่จะใช้น้ำหมึกพ่นลงบนกระดาษ ก็ใช้ผงหมึกกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าและความร้อนทำให้ผงหมึกไปติดบนกระดาษแทน ผลที่ชัดเจนที่สุดคือคุณภาพของงานจะดีกว่าปรินเตอร์อิงค์เจ็ตมาก ต่อให้เป็นปรินเตอร์เลเซอร์ราคาถูกที่สุดก็ยังปรินท์ได้คมกว่าปรินเตอร์อิงค์เจ็ตราคาแพงบางตัวเสียอีก จุดเด่นอีกอย่างของปรินเตอร์เลเซอร์อยู่ที่ความเร็วซึ่งสูงกว่าอิงค์เจ็ต ความเร็วของปรินเตอร์เลเซอร์เวลาตั้งคุณภาพงานระดับดีก็ยังเร็วพอๆ หรือเร็วกว่าปรินเตอร์อิงค์เจ็ตที่พิมพ์ที่คุณภาพต่ำสุดเสียอีก ปรินเตอร์เลเซอร์เคยมีจุดอ่อนเรื่องราคาไม่ว่าจะเป็นตัวเครื่องหรือโทนเนอร์ (หมึก) แต่ปัจจุบันมีปรินเตอร์เลเซอร์ราคาถูกอยู่มากมายและคุณภาพก็ไม่ได้ถูกตามราคาด้วย ส่วนโทนเนอร์นั้นแม้จะยังมีราคาแพง (บางครั้งแพงพอๆ หรือแพงกว่าตัวเครื่องเสียอีก) แต่ต้องจำไว้ว่าโทนเนอร์นั้นไม่มีแห้งไม่มีติดกรังเหมือนอิงค์เจ็ต ถ้าไม่ได้ใช้นานๆ ก่อนจะใช้ก็เอาโทนเนอร์ออกมาเขย่าซักหน่อยก็ปรินท์ได้นิ๊งเหมือนใหม่ อีกเรื่องคือต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่นซึ่งต่ำกว่าอิงค์เจ็ตมาก ทั้งนี้เนื่องจากโทนเนอร์นั้นสามารถพิมพ์ได้เป็นพันๆ (หรือบางทีเป็นหมื่นก็มี) หน้าและมีอายุการใช้งานนานมากๆ เมื่อหารราคาโทนเนอร์ด้วยระยะเวลาการใช้งานหรือไม่ก็จำนวนหน้าที่พิมพ์จะพบว่ามันต่ำกว่าปรินเตอร์อิงค์เจ็ตที่ต้องเติมหมึกอยู่บ่อยๆ มากเลยทีเดียว
จุดด้อยของปรินเตอร์เลเซอร์อยู่ที่การใช้ที่ไม่รอบด้านเท่าปรินเตอร์อิงค์เจ็ต ส่วนหนึ่งมาจากการที่ปรินเตอร์เลเซอร์ส่วนใหญ่เป็นแบบขาวดำ ปรินเตอร์เลเซอร์สีนั้นราคาต่ำลงกว่าแต่ก่อนมาก ทว่าถ้าเป็นงานพิมพ์สีนั้นคุณภาพและความคุ้มค่ายังสู้ปรินเตอร์อิงค์เจ็ตไม่ได้ เพราะว่าปรินเตอร์เลเซอร์สีทั่วไปมีข้อจำกัดเรื่องการไล่เฉดสีและความร้อน ส่วนปรินเตอร์เลเซอร์สีที่ทัดเทียมกับปรินเตอร์อิงค์เจ็ตได้นั้นก็มักเป็นระดับโปรฯ ซึ่งราคาสูงไม่ใช่เล่น
สรุปว่าถ้าส่วนใหญ่พิมพ์งานเอกสารขาวดำ หรือพิมพ์เอกสารสีเป็นบางครั้ง และเน้นที่ความคมชัด ความเร็ว ใช้งานไม่แน่ไม่นอน (คือบางทีก็ใช้บ่อย บางทีก็ไม่ได้ใช้เลย) ปรินเตอร์เลเซอร์คือคำตอบของคุณครับ
10 รู้คู่ความคิด
คิดอย่างเดียวไม่อาจไปถึงจุดหมายได้แต่ต้องรู้ด้วย PCToday เลือกข้อควรรู้บางข้อที่จำเป็นต่อการเลือกซื้อปรินเตอร์มาบอกกล่าวกัน
รู้ 1 ความละเอียดหรือ DPI: ความละเอียดของงานพิมพ์นั้นวัดกันด้วยจำนวนจุดต่อตารางนิ้วหรือ Dot per Inch (DPI) หลักการก็คล้ายๆ กับจอมอนิเตอร์หรือจอมือถือล่ะครับ คือยิ่ง DPI มากภาพก็จะคม งานจะสวย แต่ยิ่ง DPI มากก็ยิ่งใช้หมึกมากตามไปด้วย 150 DPI นั้นถือเป็นระดับ Draft ซึ่งเหมาะกับการพิมพ์เค้าร่าง ความละเอียดที่เหมาะสมกับงานเอกสารที่ให้ตัวอักษรคมชัดคือ 300 DPI ขึ้นไป ปรินเตอร์อิงค์เจ็ตนั้นจะมี DPI ที่ประมาณ 300-600 แต่รุ่นดีๆ (และแพงๆ) จะสูงถึง 1000 DPI ขึ้นไปเลยก็มี ส่วนปรินเตอร์เลเซอร์นั้นมักจะมี DPI เริ่มต้นที่ 600 รุ่นดีหน่อยอาจจะมี DPI สูงถึง 2000 ขึ้นไปเลยก็มี ทว่าถ้าไม่ได้ซื้อปรินเตอร์ไปปรินท์รูปก็ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่อง DPI เท่าไหร่เพราะ DPI ขึ้นต่ำของปรินเตอร์สมัยนี้นั้นเพียงพอต่อการใช้งานเอกสารแบบสบายๆ อยู่แล้ว (แต่ปรินท์แบบโฟโต้จะต้องการ DPI ที่สูงดังนั้นต้องศึกษาเพิ่มให้ดีๆ)
รู้ 2 ความเร็ว: ความเร็วในการพิมพ์นั้นมักจะมีหน่วยเป็นจำนวนหน้าต่อนาทีหรือ Page per Minute (PPM) ยิ่ง PPM มากก็ยิ่งดี แต่ต้องไม่ลืมว่าความเร็วนั้นขึ้นอยู่กับหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นประเภทงาน ความละเอียด คุณภาพ/ประเภทของกระดาษ เวลาจะเปรียบเทียบปรินเตอร์ที่ความเร็วนั้นต้องเปรียบเทียบบนพื้นฐานเดียวกันนะครับ
รู้ 3 การเชื่อมต่อ: พอร์ตที่เชื่อมต่อกับปรินเตอร์นั้นมีมากมาย พอร์ตเก่าๆ อย่าง Serial Port หรือ Parallel Port นั้นหายากเต็มทีแล้ว ที่เจอส่วนใหญ่จะเป็นพอร์ต USB แต่ก็มีปรินเตอร์จำนวนไม่น้อยที่มีพอร์ต Ethernet มาให้ต่อแลนเพื่อแชร์ปรินเตอร์ได้ด้วย ปรินเตอร์รุ่นใหม่หน่อยสามารถเชื่อมต่อผ่าน WiFi ได้ด้วยซึ่งทำให้เราสามารถสิ่งปรินท์งานจากมือถือก็ยังได้
รู้ 4 หน่วยความจำของปรินเตอร์: ปรินเตอร์นั้นไม่สามารถปรินท์งานที่สั่งทั้งหมดได้ทันทีดังนั้นจึงต้องมีหน่วยความจำเพื่อรับและพักงานก่อนจะจัดส่งให้ส่วนที่ทำหน้าที่ปรินท์เป็นลำดับๆ ไป ขนาดหน่วยความจำนั้นมักจะแปรผันตามความเร็วการพิมพ์ ปรินเตอร์อิงค์เจ็ตส่วนใหญ่มีจะหน่วยความจำไม่มากเมื่อเทียบกับปรินเตอร์เลเซอร์ซึ่งพิมพ์ได้เร็วกว่า ปรินเตอร์ที่แชร์ได้ (เช่นมีพอร์ต Ethernet หรือ WiFi) มักจะมีหน่วยความจำที่ใหญ่เพราะต้องรองรับงานจำนวนมาก เช่นในกรณีที่คนครึ่งออฟฟิสสั่งปรินท์งานพร้อมๆ กัน ดังนั้นถ้าซื้อปรินเตอร์ไปใช้ในบ้านก็ไม่ต้องกังวลเรื่องหน่วยความจำเลยก็ได้ แม้จะไม่ใช่ปรินเตอร์รุ่นที่มีพอร์ต Ethernet หรือ WiFi แต่ก็อาจจะเชื่อมต่อกับเน็ตเวิร์คผ่านคอมฯ ที่ตั้งเป็นเครื่องเซิร์พเวอร์ก็ได้ ดังนั้นถ้าซื้อไปใช้ในที่ทำงานควรเลือกที่มีหน่วยความจำเยอะหน่อย
รู้ 5 มัลติฟังก์ชั่น/All-in-one: ปรินเตอร์แบบมัลติฟังก์ชั่นคือปรินเตอร์ที่สามารถทำได้มากกว่าแค่ปรินท์งาน โดยรวมความสามารถอื่นๆ เช่น สแกนเอกสาร โทรสาร หรือแม้แต่ถ่ายเอกสาร เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้เราไม่ต้องไปซื้อสแกนเนอร์แยกมาต่างหากให้เสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น โฮมออฟฟิส์หรือแม้แต่สำนักงานขนาดย่อมก็ได้ประโยชน์จากปรินเตอร์แบบมัลติฟังก์ชั่นโดยเฉพาะการถ่ายเอกสาร ซึ่งยิ่งถ้าเป็นแบบเลเซอร์ด้วยก็ยิ่งคุ้มค่าและมีต้นทุนสูงกว่าเครื่องถ่ายเอกสารไม่มากนัก โทรสารนั้นอาจจะไม่บูมและจำเป็นเหมือนสมัยก่อนแต่ก็ยังมีใช้กันอยู่ไม่น้อย ถ้าใครรับ-ส่งโทรสารบ่อยๆ ปรินเตอร์แบบมัลติฟังก์ชั่นน่าจะตอบโจทย์ของคุณได้ดีเชียวครับ แต่ข้อควรระวังของปรินเตอร์แบบนี้คือมันทำได้หลายอย่างก็จริงแต่เรื่อคุณภาพจะสู้อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เฉพาะอย่างสแกนเนอร์หรือเครื่องถ่ายเอกสารไม่ได้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่พวกมือโปรฯ ไม่ค่อยจะใช้ปรินเตอร์แบบมัลติฟังก์ชั่น อีกสาเหตุหนึ่งคือปรินเตอร์มัลติฟังก์ชั่นเนี่ยถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งเสียมันก็มักจะพาให้ส่วนอื่นๆ เสียตามไปด้วย ดังนั้นถ้าเน้นคุณภาพการใช้งานและความทนทานแนะนำให้ซื้อเป็นอุปกรณ์แยกชิ้นต่างหากไปจะดีกว่า จะปรินท์งานก็ซื้อปรินเตอร์ จะสแกนก็ซื้อสแกนเนอร์ แต่ถ้าเน้นความคุ้มค่า…จัดไปได้เลยครับ
รู้ 6 ระบบปฏิบัติการที่รองรับ: เรื่อง OS ไม่รองรับซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องไดรเวอร์ด้วยนี้ไม่ค่อยเป็นปัญหาเท่าไหร่แล้วในสมัยนี้ เพราะผู้ผลิตปรินเตอร์มักจะทำไดรเวอร์ไว้รองรับ OS ยอดนิยมไว้หมดแล้วไม่ว่าจะเป็น OS X หรือ Windows แต่ถ้าเป็น OS สายพันธุ์ Linux นั้นอาจจะต้องเช็คกันอีกทีเพราะบางครั้งบางคราวก็ไม่มีไดรเวอร์สำหรับ Linux แต่คนใช้ Linux ส่วนมากก็กังวลอยู่แล้วเพราะสามารถหาไดรเวอร์แบบ Custom ได้จากอินเตอร์เน็ต ดังนั้นสิ่งที่ต้องระวังเกี่ยวกับ OS คือเรื่องเวอร์ชั่น คนที่ใช้ OS เวอร์ชั่นเก่าๆ อย่าง Windows 98 อาจจะหาไดรเวอร์ลำบากหน่อย แต่ถ้าใช้ OS ร่วมสมัยอย่าง XP, 7 ก็ไม่น่ามีปัญหาแต่อย่างใด
รู้ 7 วัฏจักรการใช้งานหรือ Duty Cycle: Duty cycle นั้นคือจำนวนสูงสุดหน้าที่ผู้ผลิตปรินเตอร์แนะนำให้ใช้ต่อเดือน เช่น 1000 หน้าต่อเดือนเป็นต้น แต่ไม่ใช่ว่าถ้า Duty cycle เป็น 1000 เราจะไม่สามารถปรินท์เกินกว่านั้นได้ ได้ครับ…แต่ปรินเตอร์จะเสื่อมสมรถภาพเร็วกว่ากำหนด ในทางกลับกันถ้าเราปรินท์ไม่ถึง Duty cycle อายุการใช้งานปรินเตอร์ก็มีโอกาสที่จะสูงขึ้น ถ้าซื้อปรินเตอร์ไปใช้งานตามบ้านก็ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่อง Duty cycle เท่าไหร่เพราะคงยากที่เราจะปรินท์เป็นพันๆ แผ่นต่อเดือน ถ้าเป็นสำนักงานหรือร้านถ่ายเอกสารก็ว่าไปอย่าง อีกอย่างคือปรินเตอร์สมัยนี้มี Duty cycle ค่อนข้างสูง ปรินเตอร์เลเซอร์ส่วนใหญ่จะมี Duty cycle ประมาณ 10000 หน้าต่อเดือนแทบทั้งนั้น
รู้ 8 ปรินท์หน้า-หลัง: แต่ก่อนถ้าเราจะปรินท์ทั้งด้านหน้าและหลังของกระดาษก็ต้องมานั่งกลับกระดาษนั่งเล็งกันเอาเอง แต่ปรินเตอร์สมัยใหม่หลายรุ่นมีฟีเจอร์ปรินท์หน้า-หลังอัตโนมัติ (ADF) ฟีเจอร์นี้แล้วแต่ความต้องการของแต่ละคนแต่ถ้าถามผมมีไว้ก็ดี…แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร ปรินเตอร์หลายรุ่นถึงจะไม่มีฟีเจอร์ปรินท์หน้า-หลังอัตโนมัติแต่ก็มีซอพแวร์หรือคู่มือแนะนำวิธีปรินท์หน้า-หลังแบบง่ายๆ ด้วย วิธีที่ดีที่สุดคือหาคู่มือมาลองอ่านก่อนซื้อหรือหาข้อมูลจากเวปครับ
รู้ 9 กระดาษที่รองรับ: คนส่วนมากใช้กระดาษ A4 ในการปรินท์ แต่บางครั้งบางคราวเรามีความจำเป็นต้องก็ใช้กระดาษที่ต่างออกไป เช่น บางครั้งเราต้องการปรินท์จ่าหน้าซองจดหมายเพราะดูเรียบร้อยและเป็นทางการดี หรือบางคนทำงานกับกระดาษขนาดที่ไม่ใช่ A4 ก็มีให้เห็นอยู่ไม่น้อย จึงเป็นเรื่องดีกว่าถ้าเราจะมองหาปรินเตอร์ที่สามารถใช้งานกับกระดาษได้หลายรูปแบบ แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูความจำเป็นและความคุ้มค่ากับราคาด้วย เพราะปรินเตอร์ที่รองรับกระดาษได้หลายๆ ขนาดมักมีราคาสูงกว่าปรินเตอร์ที่รองรับแต่กระดาษ A4
รู้ 10 Accessories: อันนี้หมายถึงของสัพเพเหระทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับปรินเตอร์ ที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็นหมึก/โทนเนอร์กับกระดาษ อย่างที่บอกไปว่าราคาปรินเตอร์อิงค์เจ็ตนั้นถูกก็จริงแต่ถ้าต้องเปลี่ยนตลับหมึกบ่อยๆ เพราะหัวตันหรือหมึกแห้งก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายโดยรวมสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปรินเตอร์เลเซอร์ที่อยู่โทนเนอร์ปรินท์ได้มากกว่าและไม่จู้จี้เรื่องใช้งานบ่อยหรือไม่บ่อย กระดาษก็เป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะถ้าคุณซื้อปรินเตอร์แบบโฟโต้ไปปรินท์รูป ต้องตรวจสอบให้ดีกว่ากระดาษแบบไหนที่ปรินเตอร์รองรับได้หรือไม่ได้ แบบไหนจะดีที่สุดแบบไหนไม่ควรใช้ เพราะการใช้กระดาษผิดบางครั้งนอกจากมีผลต่อคุณภาพของงานแล้วยังมีผลต่อตัวปรินเตอร์อีกด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นความรู้และข้อคิดเบื้องต้นในการเลือกซื้อปรินเตอร์…ไม่ยากใช่มั้ยล่ะครับ หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้การเลือกซื้อปรินเตอร์ครั้งต่อไปของทุกท่านเป็นเรื่องง่ายนะครับ วันนี้เวลาหมดแล้ว โอกาสหน้าพบกันใหม่สวัสดีครับ