ปี 2557 ที่ผ่านมานี้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปีแห่งความสำเร็จสำหรับอินเทลและอุตสาหกรรมไอทีในภาพรวม โดยที่ตลาดในเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นยังคงมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีรอบตัวเรา ทั้งในด้านที่สัมผัสได้โดยตรงอย่างศักยภาพของอุปกรณ์ที่เราพกพาและเครือข่าย Internet of Things (IoT) และด้านโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการใช้งานอยู่เบื้องหลัง ซึ่งล้วนแล้วแต่นำพาเราให้ก้าวเข้าสู่โลกยุคใหม่ที่หลากหลายเทคโนโลยีทำงานประสานกันเป็นหนึ่ง
และเพื่อเป็นการส่งท้ายปี 2557 เราจะนำท่านย้อนไปทบทวนสิบเหตุการณ์สำคัญในรอบปีที่ผ่านมาของอินเทล ดังต่อไปนี้:
1. อินเทลตั้งเป้าหมายการส่งมอบแท็บเล็ตที่ใช้ อินเทล® อะตอม™ โปรเซสเซอร์ 40 ล้านเครื่อง
ในปี 2557
นายไบรอัน เคอซานิทช์ ซีอีโอของอินเทล ได้เปิดศักราชใหม่ในงานคอนซูเมอร์ อิเล็กทรอนิกส์ โชว์ (CES) ด้วยการประกาศเป้าหมายอันท้าทายที่จะส่งมอบแท็บเล็ตที่ใช้หน่วยประมวลผลของอินเทลออกสู่ตลาดเป็นจำนวนทั้งสิ้น 40 ล้านเครื่องในปี 2557 นี้ ซึ่งเป็นยอดที่สูงกว่าในปีก่อนหน้าถึง 30 ล้านเครื่อง ถึงแม้ว่าเป้าหมายใหม่นี้จะสูงกว่ายอดเดิมอย่างมาก แต่อินเทลก็กำลังจะประสบความสำเร็จได้ตามเป้า ด้วยนวัตกรรมด้านการพัฒนาหน่วยประมวลผลแบบ System-on-a-Chip (SOC) รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและการลงทุนเพื่อสนับสนุนศักยภาพในการพัฒนามากมาย เช่น การเปิดศูนย์นวัตกรรมสมาร์ทอุปกรณ์ของอินเทลในเสิ่นเจิ้น ประเทศจีน และการลงทุนมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐในกองทุนเพื่อการพัฒนานวัตกรรมสมาร์ทอุปกรณ์ในประเทศจีน เมื่อนับถึงช่วงสิ้นไตรมาสที่สามในปีนี้ อินเทลได้ส่งมอบแท็บเล็ตออกสู่ตลาดแล้วกว่า 30 ล้านเครื่อง มีแท็บเล็ตออกวางจำหน่ายกว่า 250 รุ่นใน 150 ประเทศทั่วโลก ทั้งยังได้รับการจัดอันดับโดยบริษัท สแตรทิจี แ อนาไลติกส์[1] ให้เป็นผู้ผลิตชิปประมวลผลสำหรับ แท็บเล็ตอันดับสองของโลกอีกด้วย หน่วยประมวลผลของอินเทลเป็นหัวใจที่ขับเคลื่อนอุปกรณ์มากมายหลายรุ่นสำหรับทุกความต้องการ รวมถึงแท็บเล็ตดีไซน์แปลกใหม่จากแบรนด์เอเชียอย่าง Acer Aspire Switch 10, Asus Memo Pad 7, LG Tab Book และ the Toshiba Dynabook Tab S3.
2. นวัตกรรมหน่วยประมวลผลบนอุปกรณ์หลากหลายรูปแบบ
อินเทลยังคงสร้างสรรค์นวัตกรรมสำหรับหน่วยประมวลผลในอุปกรณ์พกพา เพื่อให้อุปกรณ์ต่างๆ มีประสิทธิ ภาพสูงขึ้น แบตเตอรี่ใช้งานได้นานยิ่งขึ้น และมีคุณสมบัติที่หลากหลายกว่าเดิม ทั้งยังมีรูปลักษณ์ที่บางเบา พกพาได้สะดวก ไม่ว่าจะเป็นในรูปของคอมพิวเตอร์พีซี แล็ปท็อป อัลตราบุ๊ค แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์แบบทูอินวันก็ตาม
ในปีนี้ อินเทลเป็นผู้พัฒนาหน่วยประมวลผลรายแรกของโลกที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีโปรเซสเซอร์ระดับ 14 นาโนเมตร โดยอุปกรณ์รุ่นแรกๆ ที่ใช้ Intel® Core™ M processors (อินเทล® คอร์™ เอ็ม โปรเซสเซอร์) จะเริ่มวางจำหน่ายในช่วงสิ้นปีนี้ ตามด้วยผู้ผลิตฮาร์ดแวร์รายอื่นๆ จะทยอยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างเต็มรูปแบบยิ่งขึ้นในช่วงต้นปี 2558 ทั้งนี้ แบรนด์ผู้ผลิตหลายรายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้เผยโฉมอุปกรณ์ที่ใช้ อินเทล คอร์ เอ็ม โปรเซสเซอร์ ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้แก่ Lenovo® Yoga 3 Pro, Acer Aspire Switch 12 และAsus Zenbook UX305.
ขณะเดียวกัน ยังได้มีการเปิดตัวอุปกรณ์ที่ใช้ชิป Intel® Atom™ processor Z3000 series (อินเทล® อะตอม™ Z3000 ชื่อรหัส เบย์ เทรล) เพื่อเสริมสมรรถนะและมอบประสบการณ์การใช้งานของอุปกรณ์ขนาดพกพาที่ใช้งานได้ทั้งระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 และแอนดรอยด์ นอกจากนี้ อินเทลยังได้เปิดตัวชิปเซ็ตโมเด็มเทคโนโลยี LTE-Advanced รุ่น XMM™ 7260 ในสมาร์ทโฟน ซัมซุง กาแลคซี่ อัลฟ่า โดยโมเด็ม LTE-Advanced รุ่นนี้ ได้ผ่านการรับรองโดยไชน่า โมบาย ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน จึงเปิดโอกาสให้อินเทลได้เข้าไปมีบทบาททำงานร่วมกับหนึ่งในตลาด LTE ที่คึกคักที่สุดในโลก
3. สร้างสรรค์เทคโนโลยีสำหรับทุกคน
เพื่อตอบโจทย์ความต้องการสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตกลุ่มประสิทธิภาพเบื้องต้นและราคาไม่สูง อินเทลได้เปิดตัว SoFIA ชิป SoC สำหรับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตระดับพื้นฐานที่รวมหน่วยประมวลผลอินเทล® อะตอม™ แบบดูอัลคอร์เข้ากับโมเด็ม 3G ที่ใช้งานได้กับทุกคลื่นความถี่ทั่วโลก ชิป SoFIA นี้ พัฒนาขึ้นในประเทศสิงคโปร์ จึงถือเป็นตัวอย่างของนวัตกรรมใหม่ที่ถือกำเนิด ขึ้นในทวีปเอเชีย โดยจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุปกรณ์คุณภาพในระดับราคาที่เหมาะสมกับตลาดในประเทศกำลังพัฒนา
และในปี 2558 อินเทลก็มีแผนที่จะเปิดตัวชิป SoFIA แบบควอดคอร์ที่รองรับการเชื่อมต่อแบบ 4G LTE นอกจากนี้ ข้อตกลงความร่วมมือระหว่างอินเทลและร็อคชิพ ผู้พัฒนาหน่วยประมวลผลเซมิคอนดักเตอร์จากประเทศจีนจะเปิดโอกาสให้เราได้นำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้านสถาปัตยกรรมระบบและการสื่อสารอย่างกว้างขวางและรวดเร็วยิ่งขึ้น ผ่านทางแท็บเล็ตแอนดรอยด์ที่มีราคาต่ำ โดยเทคโนโลยีใหม่เหล่านี้นับรวมถึงชิป SoFIA ควอดคอร์รุ่น 3G ที่มีกำหนดเปิดตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 2558
4. สานต่อมรดกแห่งนวัตกรรม
อินเทลยังคงพัฒนาชิปประมวลผลให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามกฎของมัวร์ ด้วยการลงทุนในนวัตกรรมล่าสุดสำหรับทุกตลาด ทั้งในด้านประสิทธิภาพการทำงาน การใช้พลังงาน จำนวนทรานซิสเตอร์ และความคุ้มค่า ความก้าวหน้าในด้านต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นผลมาจากการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิป อย่างไม่หยุดยั้ง จนนำไปสู่การนำหน่วยประมวลผลเทคโนโลยี 14 นาโนเมตรรุ่นแรกของโลกเข้าสู่สายการ ผลิตก่อนคู่แข่งทุกรายในตลาด ทั้งนี้ เทคโนโลยีดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ผลิตอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงที่ทำงานโดยใช้พลังงานเพียงน้อยนิด ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบเซิร์ฟเวอร์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องใช้อัจฉริยะที่เชื่อมต่อกับ Internet of Things
เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 20 ปีของแบรนด์ Pentium® (เพนเทียม®) อันเป็นส่วนสำคัญในประวัติศาสตร์ของอินเทล เราจึงได้เปิดตัวชิปประมวลผลเพนเทียม G3258 รุ่นพิเศษ ที่ผู้ใช้สามารถโอเวอร์คล็อกได้
5. ยกระดับประสบการณ์การใช้งาน
อินเทลได้เปิดตัวเทคโนโลยี RealSense™ (เรียลเซนส์) เพื่อยกระดับนวัตกรรมด้านการรับคำสั่งจากสภาพ แวดล้อมของอุปกรณ์ต่างๆ (หรือ Perceptual Computing) ผ่านทางคุณสมบัติอย่างระบบกล้องที่สามารถอ่านความลึกจากภาพได้ทำให้สามารถรับคำสั่งจากท่าทางมือของผู้ใช้ แผงไมโครโฟนคู่ เทคโนโลยีสแกนภาพสามมิติ จดจำใบหน้าผู้ใช้ และระบบรับคำสั่งด้วยเสียง คุณสมบัติทั้งหมดของ RealSense™ ทำให้เราสามารถพัฒนาอุปกรณ์รูปแบบใหม่ที่เข้าใจความต้องการของผู้ใช้ จึงถือเป็นการบุกเบิกยุคใหม่อย่างแท้จริง ขณะนี้ มีนักพัฒนาซอฟต์แวร์อิสระกว่า 60 ราย ที่กำลังสร้างสรรค์โซลูชั่นต่างๆ สำหรับแพลตฟอร์มนี้ ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้งานเทคโนโลยี RealSense™ รุ่นแรกอย่างแท็บเล็ต Dell Venue 8 7000 Series (เดลล์ เวนิว 8 7000 ซีรีส์) ก็ได้เปิดตัวออกสู่ สายตาชาวโลกไปเป็นที่เรียบร้อยในงานไอดีเอฟ ทั้งนี้ อินเทลยังได้ประกาศการพัฒนาเทคโนโลยีอีกมากมายเพื่อพลิกโฉมการใช้งานคอมพิวเตอร์พีซีให้กลายเป็นประสบการณ์แบบไร้สายที่สมบูรณ์แบบ และขจัดความวุ่นวายของสายไฟและสายเคเบิลเชื่อมต่ออุปกรณ์ชนิดต่างๆ ส่วนเทคโนโลยีสแกนม่านตา ActiveIRIS® (แอคทีฟไอริส) ที่นำมาจัดแสดงบนสมาร์ทโฟนรุ่นต้นแบบที่ใช้ชิปประมวลผล Intel® Atom™ Z3500 processor series ก็ถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมใหม่ด้านความปลอดภัยที่ทั้งรวดเร็วและเชื่อถือได้สำหรับผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน
6. บุกเบิกอุปกรณ์เพื่อการสวมใส่
นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ว่าตลาดอุปกรณ์ประมวลผลเพื่อการสวมใส่ ( wearables) จะเติบโตขึ้นถึง 4 เท่า ตัวภายในปี 2560[2] ด้วยเหตุนี้ อินเทลจึงเดินหน้าจับมือกับพันธมิตรทางเทคโนโลยีหลายราย ไม่ว่าจะเป็น Fossil Group, Inc*, Opening Ceremony* และ SMS Audio LLC* เพื่อพัฒนาอุปกรณ์ประมวบผลเพื่อการสวมใส่สำหรับการใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม นอกจากนี้ อินเทลยังได้ซื้อกิจการของบริษัท BASIS Science Inc ผู้พัฒนาอุปกรณ์เก็บข้อมูลด้านสุขภาพที่ล้ำยุคที่สุดอย่าง Basis band.
เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ในตลาดอุปกรณ์เพื่อการสวมใส่และเซนเซอร์ตรวจจับต่างๆ อินเทลจึงได้จัดตั้งโครงการและการแข่งขันในด้านดังกล่าวมากมาย ทั้งในรายการ Make it Wearable, Analytics for Wearables และ RealSense Technology App ส่วนการเปิดตัว Intel® Edison (อินเทล® เอดิสัน) คอมพิวเตอร์ดูอัลคอร์ขนาดจิ๋วที่ใช้หน่วยประมวลผลควาร์ก (Quark-based computer) มีราคาต่ำ และมีรูปร่างและขนาดเท่ากับเอสดีการ์ดทั่วไป ก็ถือเป็นการสนับสนุนนวัตกรรมใหม่ในวงการนี้เช่นกัน
7. เชื่อมต่อเครือข่ายแห่งอนาคต
เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) จะเชื่อมต่อสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ กว่า 50,000 ล้านชิ้นเข้าด้วยกันภายในปี 2563[3] และเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเราให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น อินเทลได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของ Open Interconnect Consortium และ Industrial Internet Consortium เพื่อร่วมสนับสนุนการเติบโตของเทคโนโลยีดังกล่าวและผลักดันให้เกิดการสร้างมาตรฐานสำหรับการทำงานร่วมกัน นอกจากนี้ อินเทลยังได้จับมือกับพันธมิตรหลายรายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการนำเทคโนโลยีเครือข่ายไปใช้งานอย่างกว้างขวางในหลากหลายอุตสาหกรรม ดังเช่นในโครงการวิจัยร่วม Project Mobii ซึ่งเป็นการร่วมค้นคว้าวิจัยด้านยานยนต์อัจฉริยะร่วมกับฟอร์ด
อินเทลและชุงฮวา เทเลคอม ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านนวัตกรรม IoT คลาวด์ และเครือข่ายที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ (Software-Defined Networking; SDN) โดยชุงฮวา เทเลคอมเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายแรกของเอเชียที่จับมือกับอินเทลเพื่อร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยี IoT และความร่วมมือนี้ก็เป็นโครงการวิจัยนวัตกรรม IoT โครงการที่ห้าของอินเทลทั่วโลก โดยจะมุ่งเน้นการพัฒนาระบบสมาร์ทโฮม ระบบจัดการพลังงาน และระบบจัดการยานพาหนะเพื่อการพาณิชย์เป็นหลัก
นอกจากนี้ อินเทลและมิตซูบิชิ อิเล็กทริก ยังได้ประกาศความร่วมมือเพื่อพัฒ นาระบบอัตโนมัติในโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้งานเทคโนโลยี IoT แบบครบวงจร ควบคู่กับการวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบดังกล่าว ทั้งสองบริษัทได้ร่วมกันนำระบบอัตโนมัติรูปแบบใหม่นี้มาทดลองใช้ที่โรงงานของอินเทลในประเทศมาเลเซีย เพื่อพิสูจน์ถึงคุณประโยชน์ของเทคโนโลยี IoT ในภาคธุรกิจ ทั้งการใช้งานเครื่องจักรกลที่ต่อเนื่องและยาวนานยิ่งขึ้น ศักยภาพการผลิตที่แข็งแกร่งขึ้น และการวางแผนซ่อมบำรุงอุปกรณ์ต่างๆ ล่วงหน้า ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่ชิ้นส่วนต่างๆ ของระบบจะเสื่อมสภาพลงจนไม่สามารถใช้งานได้
สำหรับประเทศไทย อินเทลได้ทำงานใกล้ชิดกับพันธมิตรทางธุรกิจ Embedded อาทิ Advantech, ADLINK, Dell OEM, และ QNAP เพื่อให้กลุ่มผลิตภัณฑ์ของ loT ใช้งานได้จริง รวมถึงการสรรสร้างนวัตกรรมทางเทคโนโลยีใหม่ๆในโครงสร้างภายในของ loT แบบครบวงจร ทั้งในภาคธุรกิจค้าปลีก อุตสาหกรรม พลังงาน และการสื่อสารร
8. เปิดโลกใหม่กับ “บิ๊ก ดาต้า”
อินเทลได้เปิดตัวชิปประมวลผลตระกูล Intel® Xeon® processor E7 v2 (อินเทล ซีออน E7 V2 โปรเซสเซอร์) และ Intel® Xeon® processor E5-2600/1600 v3 (อินเทล ซีออน E5-2600/1600 V3 โปรเซสเซอร์) ออกสู่ตลาดเพื่อช่วยให้องค์กรธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมสามารถจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน กว่าร้อยละ 81 ของซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังที่สุด 500 เครื่องทั่วโลก[4]เลือกใช้ชิปประมวลผลจากอินเทล และชิปรุ่นใหม่เหล่านี้ก็จะเข้ามาตอบสนองความต้องการใหม่ๆ ของผู้ใช้งานระบบศูนย์ข้อมูล (data center) เพื่อให้สามารถรับมือได้กับปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้น ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพในด้านการใช้พลังงานและความปลอดภัยอีกด้วย
9. ผู้นำแห่งอนาคต
อินเทลเชื่อว่าเยาวชนคนรุ่นใหม่เป็นหัวใจของการสร้างสรรค์นวัตกรรม ดังจะเห็นได้จากงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนานาชาติของอินเทล (Intel ISEF) ซึ่งเป็นการแข่งขันโครงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมปลายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก โดยในปีนี้ นาธาน ฮาน วัย 15 ปี สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศไปครองได้สำเร็จจากผลงานซอฟต์แวร์เพื่อการศึกษาวิจัยการกลายพันธุ์ของยีนอันเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งเต้านม ส่วนในปีนี้ โครงงานวิทยาศาสตร์ “ผลของสารจากพืชบางชนิดที่มีต่อเปอร์เซ็นต์การฟักเป็นตัวของไข่และการตายของหอยเชอร์รี่ หอยทากสยาม และหอยทากยักษ์แอฟริกา” โดยนายวันทา กำลัง และนายภัทรพงศ์ ลิมปวัฒนะ จาก โรงเรียนพนมสารคามพนมอดุลวิทยา ประเทศไทย ได้รับรางวัลชนะเลิศมูลค่า 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นรางวัลที่ 4 ในหมวดพืชวิทยา
บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับเลือกเป็นองค์กรดีเด่นผู้ทำประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชน ในสาขาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยี จากทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รางวัลอันทรงเกียรตินี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีในหมู่เยาวชน ซึ่งรวมไปถึงการสนับสนุนการแข่งขันวิทยาศาสตร์ระดับชาติของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) และสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์เช่นเดียวกับการสนับสนุนการพัฒนาศูนย์สะเต็มศึกษาในประเทศไทย (สะเต็มศึกษาประกอบด้วย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีวิศวกรรมศาสตร์ และ คณิตศาสตร์)
10. เพื่อโลกในอนาคตที่ดีกว่า
นอกจากความสำเร็จในด้านนวัตกรรมแล้ว อินเทลยังคงมุ่งมั่นเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลกด้วยเทคโนโลยี โดยบริษัทได้ประกาศแผนงานที่จะยุติการนำเข้าแร่วัตถุดิบจากพื้นที่ภายใต้ข้อขัดแย้ง (conflict minerals) ในทุกขั้นตอนการผลิต[5] และยังได้รับเลือกให้เป็นองค์กรดีเด่นอันดับหนึ่งของสหรัฐอเมริกาในด้านการใช้พลังงานหมุนเวียนอีกด้วย
อินเทลยังคงมุ่งมั่นในการลดช่องว่างด้านการเข้าถึงรเทคโนโลยีและเสริมสร้างความเท่าเทียมทางสิทธิระหว่างชายและหญิง ผ่านการเปิดโอกาสให้เด็กผู้หญิงในหลายประเทศทั่วโลกได้พัฒนาทักษะความเป็นผู้นำ และก้าวเดินสู่อนาคตได้อย่างมั่นใจ สำหรับประเทศไทย อินเทลได้ร่วมมือกับ Plan International ในโครงการ Intel® Learn Easy Steps เพื่อเปิดศูนย์ฝึกอบรมอาชีวศึกษา 2 แห่ง (จังหวัดระยองและนครปฐม) เยาวชนหญิงในศูนย์ฝึกอบรมทั้งสองแห่งนี้ได้ทำงานร่วมกันและริเริ่มธุรกิจขนาดเล็ก โดยใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีในการพัฒนาแผนธุรกิจ การคำนวณต้นทุน และการติดตามการดำเนินงานธุรกิจ นอกจากนี้ อินเทลร่วมมือกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ในการพัฒนาและทดสอบค่ายต้นแบบฝึกสอนการเขียน แอพพลิเคชั่นมือถือสำหรับเยาวชนหญิงในระดับมัธยมต้น เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนหญิงเหล่านี้เห็นภาพว่าตนเองสามารถเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีได้ในอนาคตได้เช่นเดียวกัน
ตลอดระยะเวลา 12 ปีที่ผ่านมา อินเทลได้ร่วมอบรมและเสริมศักยภาพให้กับบุคลากรครูกว่า 10 ล้านคนทั่วโลก เพื้อสร้างรากฐานที่แข็งแรงให้แก่การพัฒนาศึกษาในอนาคต ในปีนี้ อินเทล ประเทศไทย ได้เปลี่ยนรูปแบบการอบรมเป็นแบบออนไลน์ด้วยหลักสูตร Intel Teach Element นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรฝึกอบรม Intel Educate Future Scientists ที่กำลังเริ่มใช้ในปีนี้ โดยเป็นการร่วมมือการระหว่าง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติและองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) อินเทลได้เปิดโครงการความร่วมมือในการเร่งการพัฒนาสะเต็มศึกษา (STEM Acceleration Partnership) ด้วยการทำงานร่วมกับหลากหลายสถาบันโดยเฉพาะ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เพื่อส่งเสริมสะเต็มศึกษาในประเทศไทย
นอกจากนี้ อินเทลยังเล็งเห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูลในปริมาณมหาศาล (big data analytics) ในการรักษาโรคร้ายต่างๆ จึงได้ประกาศความร่วมมือกับ มูลนิธิไมเคิล เจ ฟ็อกซ์เพื่อทำการวิจัยและรักษาโรคพาร์กินสัน
[1] ข้อมูลจากรายงานของบริษัท สแตรทิจี อนาไลติกส์ ประจำเดือนกันยายน ซึ่งทำการวิเคราะห์ส่วนแบ่งตลาดหน่วยประมวลผลอุปกรณ์แท็บเล็ตในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2557
[2] ข้อมูลจากรายงานวิเคราะห์ตลาดอุปกรณ์เพื่อการสวมใส่ ฉบับที่สามประจำปี 2557 ของบริษัท จูนิเปอร์ รีเสิร์ช เดือนกันยายน 2557
[3] ข้อมูลจากรายงาน “ไอดีซีชี้ “Internet of Things” พร้อมเปลี่ยนโลก” โดยบริษัทวิจัยไอดีซี ตุลาคม 2556
[4] ข้อมูลจากรายงาน “ระบบคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง: มุ่งหน้าสู่ยุค Exascale” โดย top500.org มิถุนายน 2556
[5] แร่วัตถุดิบจากพื้นที่ภายใต้ข้อขัดแย้ง ภายใต้คำนิยามของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งสหรัฐอเมริกา (SEC) ได้แก่แร่ดีบุก แทนทาลัม ทังสเตน และทองคำ จากทุกแหล่งที่มา ไม่ว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกหรือประเทศใกล้เคียงหรือไม่
ในที่นี้ ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากข้อขัดแย้ง หมายถึงผลิตภัณฑ์ซึ่งผลิตขึ้นโดยไม่ใช้แร่ธาตุจากพื้นที่ภายใต้ข้อขัดแย้ง (ดีบุก แทนทาลัม ทังสเตน และทองคำ) ซึ่งอาจสร้างรายได้หรือผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กับกลุ่มกองกำลังติดอาวุธในคองโกหรือประเทศรอบข้าง ทั้งนี้ อินเทลใช้คำว่า “ปราศจากข้อขัดแย้ง” ในการอ้างอิงถึงซัพพลายเออร์ ผู้เกี่ยวข้องต่างๆ ในระบบห่วงโซ่อุปทาน และโรงถลุงแรที่ไม่มีการใช้แร่ธาตุดังกล่าว