ผู้เชี่ยวชาญซีเอ เทคโนโลยีระดมสมองฟันธงชี้ 5 เทคโนโลยีสำคัญที่จะกำหนดทิศทางเทรนด์ใหม่ปี 2013
- บิ๊กดาต้า ขยายตัว: เรื่องของ Big Data ไม่ได้ใหญ่แค่ขนาดเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์มากมาย ผู้บริหารระบบข้อมูลจะกลายมามีบทบาทสำคัญในการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ และพลังในการประมวลผล เพื่อประเมินวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอย่างเป็นกลางและนำไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจต่อไป
- ธุรกิจเอนเทอร์ไพรซ์หันมาใช้คลาวด์สาธารณะ: จาการขยายตัวของบริการจากเซอร์วิสโพรไวเดอร์มากมาย( Service Providers – SP) โดยเฉพาะจากรายใหญ่ๆ อย่างบริษัทเทเลคอม ที่ได้รับการวางใจจากภาคธุรกิจอยู่แล้ว ดังนั้นธุรกิจเอนเทอร์ไพรซ์จะหันมาใช้คลาวด์สาธารณะที่อยู่นอกบริษัทมากขึ้น ในขณะที่ทางผู้ให้บริการคลาวด์ก็จะขยายตัวทั้งในเรื่องเทคโนโลยีและโมเดลธุรกิจ ระบบคลาวด์จะเริ่มขยายตัวสูงในนอกตลาดสหรัฐฯ ในขณะที่ความฮือฮาของคอมพิวเตอร์ระบบคลาวด์ก็จะซาลง เพราะคนเริ่มเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติที่ปฏิบัติกันทั่วไปไปแล้ว
- ขอบเขตของบริษัทอยู่ที่ไอดี: ผู้ใช้ระบบเอนเทอร์ไพรซ์จะมีมาจากทุกที่ทุกเวลา การใช้งานระบบคลาวด์ที่เพิ่มขึ้นและการทำงานประสานกันข้ามโลกกับลูกค้าและพาร์ตเนอร์ ผ่านหลายชนิดอุปกรณ์เชื่อมต่อ ทั้งหมดนี้ทำให้พรมแดนไอทีของบริษัททั่วไปเปลี่ยนไป และมืออาชีพด้านการรักษาความปลอดภัยกำลังเจอปัญหาการรับมือจากทุกด้านโดยมีตัวแปรสำคัญอยู่ที่ไอดีของผู้ใช้งาน
- บทบาทของเทคโนโลยี sensing: จะมีการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีด้านนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ในอุปกรณ์โมไบล์ประเภทต่างๆ
- เอนเทอร์ไพรซ์หันมาเน้นโมไบล์และโซเชียล: บริษัทต่างๆ จะเริ่มสร้างแอพพลิเคชั่นที่เน้นโซเชี่ยลและโมไบล์เป็นหลัก ไม่ได้เป็นรองหรือเป็นส่วนเสริมอย่างเดิมเสมอไป
การระบาดของโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน แนวคิด BYOD ที่อนุญาตให้พนักงานเอาเครื่องมาใช้ที่ทำงาน คอมพิวเตอร์ระบบคลาวด์ กระแสบิ๊กดาต้า และการรักษาความปลอดภัยได้ทำให้ทุกอย่างซับซ้อนขึ้น ในอดีต เทคโนโลยีเคยเป็นการใช้แบบล็อกอินล็อกออฟ ยูสเซอร์เข้าแล้วออกจากระบบ และระบบไอทีชัดเจนว่าอะไรอยู่ตรงไหน แต่ในโลกที่เชื่อมต่อกันหมดในปัจจุบัน ตัวเทคโนโลยีได้พัฒนาไปไกลกว่าแค่การรันระบบ แต่ไปสู่การขับเคลื่อนและพัฒนานวัตกรรมทางธุรกิจอย่างชาญฉลาด
ณัฐพล อภิลักโตยานันท์ ผู้จัดการประจำประเทศมาเลเซียและไทย ซีเอ เทคโนโลยี กล่าว “ในปี 2013 ไอทีจะเป็นตัวขับเคลื่อนการแข่งขันทางธุรกิจ โดย CIO จะต้องมีโมเดลที่สามารถนำเสนอเซอร์วิสได้อย่างครบวงจร นำเอาทุกส่วน และทุกเทคโนโลยีมาสร้างรวมเป็นการใช้งานที่ยูสเซอร์พอใจ ถ้าจะตามกระแสให้ได้ ตัว CIO จะต้องทำหน้าที่เป็นทั้งผู้พัฒนานวัตกรรมเชิงธุรกิจ และผู้ประสานรวมระบบ สามารถจัดการดูแลเซอร์วิสที่หลากหลายและรวมเข้ามานำเสนอให้แตกต่างตามความต้องการของแต่ละเซอร์วิสให้ได้ นอกจากนี้ฝ่าย IT จะต้องทำหน้าที่เป็นทั้งกุนซือที่ทุกคนวางใจ และผู้ประสานงานเซอร์วิส ที่ประกันคุณภาพได้เสมอในโลกใหม่ที่ไอทีซับซ้อนยิ่งขึ้นทุกที”
อีกกระแสที่น่าจับตา: DevOps กำลังมา
การประมวลผลอัจฉริยะที่มีในทุกชิ้นทุกอุปกรณ์ของโลกเราทุกวันนี้ ทำให้งานไอทีซับซ้อนกว่าที่เคยเป็นมาและต้องมีการวางแผนกันให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะเขียนโค้ดโปรแกรมกันด้วยซ้ำไป
ความยืดหยุ่นคือตัวแปรสำคัญที่ทำให้ ทั้งเดเวล็อบเปอร์ ผู้ทดสอบโปรแกรม และธุรกิจเจ้าของโปรเจ็กต์ต้องทำงานอย่างใกล้ชิด กระแส DevOps กำลังผลักดันให้มีการออกแบบซอฟต์แวร์ที่เน้นประสบการณ์การใช้งานจริง โดย CIO ยุคต่อไปจะวุ่นวายกับการดูแลตัวเครื่องและอุปกรณ์น้อยลง แต่ต้องมาห่วงบริหารจัดการแอพพ์กันมากขึ้น ขณะเดียวกันในสถานการณ์ที่เซอร์วิสต่างๆ เคลื่อนย้ายไปสู่ระบบคลาวด์จนหมดและผู้ใช้ก็ไม่อยากจะมาดูโครงสร้างระบบต่างๆ ด้วยตนเอง การใช้ DevOps จึงมีความจำเป็นสำหรับเฟรมเวิร์กแบบเดิมอย่าง ITIL โดยดึงเอาส่วนที่ดีที่สุดมาและปรับแต่งให้เข้ากับการพัฒนาซอฟต์แวร์สมัยใหม่ที่เน้นความยืดหยุ่น โดยทั้งคลาวด์ โมไบล์ และ DevOps ถือเป็นกระแสใหม่เดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ทาง IT จริงๆ แล้ว ก็พร้อมอยู่แล้วที่จะเปลี่ยนบทบาทตัวเองจากดูแลระบบหรือเป็นเจ้าของเทคโนโลยีเอง กลายไปเป็นตัวแทนของงานเซอร์วิสต่างๆ ทางธุรกิจ เพราะว่าระบบต่างๆ ที่มีเดิมเช่น SaaS, PaaS และ IaaS ก็ได้ปูทางสู่การใช้เซอร์วิสผ่านเครือข่ายออนไลน์ในแบบที่ไม่ได้เป็นเจ้าของระบบเองอยู่แล้ว โดยงานไอทีจะไปเน้นหนักมากขึ้นที่แอพพลิเคชั่นเชิงธุรกิจที่พัฒนาขึ้นเอง แทนที่จะเป็นการซื้อมาติดตั้งและดูแลจัดการ เพื่อให้บรรลุเป้าที่เหนือกว่าทั้งในด้านความเร็วในการทำงาน นวัตกรรม ประสิทธิภาพ และสมรรถนะเมื่อเทียบกับต้นทุนและความเสี่ยง