“เอซุส” เผยกลยุทธ์รุกตลาดปี 2556 ของกลุ่มธุรกิจโอเพ่น แพลทฟอร์ม (โอพีบีจี) พร้อมพาเหรดสุดยอดนวัตกรรมไฮไลท์สินค้าใหม่ภายใต้แนวคิด “Home Solution 2.0” ตอบสนองเทรนด์การใช้สมาร์ทดีไวซ์ที่เพิ่มขึ้นในยุค Cloud Enabled Era เพิ่มคู่ค้าและศูนย์บริการอย่างครอบคลุมทั่วถึงทุกจังหวัด พร้อมเปิดตัวบริการใหม่ “ROG Plus” เพื่อการบริการแบบ Exclusive สำหรับสมาชิก ROG โดยเฉพาะ
กลุ่มธุรกิจโอเพ่น แพลตฟอร์ม (โอพีบีจี) บริษัท เอซุสเทค คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ “เอซุส” ผู้ผลิตและพัฒนามาเธอร์บอร์ดชั้นนำที่มียอดขายและได้รับรางวัลมากที่สุดในโลก แถลงผลประกอบการปี 2555 ซึ่งปิดยอดจำหน่ายรวมได้ตามเป้าหมายที่ 1,600 ล้านบาท โดยรั้งตำแหน่งเจ้าตลาดอันดับหนึ่งของประเทศไทยในกลุ่มสินค้ามาเธอร์บอร์ด โดยรายได้รวมเติบโตขึ้น 3% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2554 ซึ่งนับว่าสวนกระแสอุตสาหกรรมไอทีในตลาดไทยที่มีภาพรวมอันซบเซาในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ในครึ่งปีหลังของปี 2555 กลุ่มธุรกิจโอพีบีจีของเอซุสยังสามารถเพิ่มการเติบโตของกลุ่มผลิตภัณฑ์เน็ตเวิร์คโซลูชั่นที่มีอัตราเติบโตสูงถึง 175% พร้อมทั้งได้เริ่มเปิดตลาดเดสก์ท็อปพีซีในประเทศไทย สำหรับ กลยุทธ์ด้านการตลาดของเอซุสในปี 2556 นี้ ทางกลุ่มโอพีบีจีจะต่อยอดแนวคิดความคิดภายใต้คอนเซ็ปต์ “Home Solution 2.0” ที่มุ่งเน้นการเชื่อมต่อไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคลให้มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ผ่านอุปกรณ์ต่างๆภายในบ้านและอุปกรณ์สมาร์ทดีไวซ์แบบพกพาที่มีแนวโน้มการใช้งานเพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลและคอนเท้นต์ต่างๆ ผ่านระบบ Private Cloud Service ที่เป็นส่วนตัวและให้ความปลอดภัยสูงสุดอย่างไร้ขีดจำกัด โดยแนวคิดนี้จะนำเสนอรูปแบบใหม่ของการต่อเชื่อมระหว่างอุปกรณ์ที่ใครๆ ก็สามารถควบคุมได้ด้วยตนเองด้วยเทคโนโลยีที่ทาง ASUS ได้พัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อมุ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อย่างครอบคลุมในทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมมุ่งเน้นบริการผ่านศูนย์บริการที่เพิ่มมากขึ้น และเปิดตัวบริการใหม่ “ROG Plus” สำหรับผลิตภัณฑ์ ROG ที่ความสะดวกรวดเร็วแก่สมาชิก ROG โดยเฉพาะ โดยทางโอพีบีจีมั่นใจภายในสิ้นปี 2556 นี้ จะสามารถเพิ่มการเติบโตด้านยอดจำหน่ายได้อีก 10% พร้อมตั้งเป้ารายได้รวมในปีนี้ไว้ที่ 1,800 ล้านบาท
คุณมนต์ธีร์ วุฒิรงค์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย กลุ่มธุรกิจโอเพ่น แพลทฟอร์ม บริษัท เอซุสเทค คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สำหรับผลประกอบการรวมถึงรายได้จากกลุ่มธุรกิจเดสก์ท็อปพีซีซึ่งเราได้นำมาทำตลาดในประเทศไทยเริ่มตั้งแต่ต้นปี 2556 โดยเราสามารถสร้างการเติบโตด้วยส่วนแบ่งการตลาดรวมของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเดสก์ท็อปพีซีและออลอินวันพีซีอยู่ในระดับที่ดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของตลาดพีซีคอมเมอร์เชียล เนื่องจากมีปัจจัยด้านบวกที่ทำให้เราสามารถสร้างฐานตลาดลูกค้าองค์กรและหน่วยงานราชการต่างๆ มากมาย อาทิ การมีโอกาสร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในการจัดหาอุปกรณ์พีซีตั้งโต๊ะให้กับหน่วยงานและโรงเรียนต่างๆ ในโครงการภายใต้การดูแลของสพฐ. โดยสัดส่วนของธุรกิจเดสก์ท็อปพีซีระหว่างตลาดคอมเมอร์เชียลและคอนซูมเมอร์จาก100 % ของเอซุสจะอยู่ที่ประมาณ 80 ต่อ 20 เปอร์เซ็นต์ จากผลประกอบการในปี 2555 ที่ผ่านมา เรายังคงมีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มมาเธอร์บอร์ดเป็นผลิตภัณฑ์เรือธงที่สร้างรายได้สูงสุดกว่า 60% ตามมาด้วยวีจีเอการ์ด 25% และกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดคืออุปกรณ์เครือข่ายแบบไร้สายที่ประมาณ 175% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของผู้บริโภคในตลาดที่หันมาให้ความสำคัญกับการเข้าถึงระบบเครือข่ายที่น่าเชื่อถือ รวมถึงนวัตกรรมอันล้ำหน้าด้านเน็ตเวิร์คกิ้งโซลูชั่นของเอซุสที่สามารถเข้ามาควบรวมการต่อเชื่อมของอุปกรณ์ต่างๆ จากศูนย์กลางเครือข่ายภายในบ้านหรือ Backbone device ซึ่งก็คือเร้าท์เตอร์ผ่านทางการควบคุมด้วยเดสก์ท็อปพีซีหรือสมาร์ทดีไวซ์ได้อย่างสะดวกสบาย”
“สำหรับในปี 2556 นี้ ทางกลุ่มธุรกิจโอพีบีจีได้แบ่งหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ออกเป็น 7 กลุ่มหลักๆ ด้วยกัน ประกอบด้วย 1) กลุ่มสินค้ามาเธอร์บอร์ด 2) กลุ่มสินค้ามัลติมีเดีย 3) กลุ่มอุปกรณ์เครือข่ายไร้สายและอุปกรณ์ต่อพ่วง 4)กลุ่มสินค้าประกอบสำเร็จรูป (เดสก์ท็อปพีซีและออลอินวัน) 5) กลุ่มจอภาพดิสเพลย์ 6) กลุ่มสินค้าอ็อพติคอลไดร้ฟว์ และสตอเรจ (OMAP) 7) กลุ่มบอร์ดเวิร์คสเตชั่นและเซฟเวอร์ ซึ่งเป็นการจัดหมวดสินค้าภายใต้ความรับผิดชอบของกลุ่มธุรกิจโอพีบีจีให้มีความสะดวกและเหมาะสมกับการบริหารจัดการด้านการตลาดยิ่งขึ้น โดยเราได้วางนโยบายการตลาดผ่านแนวคิดที่เรียกว่า ‘Home Solution 2.0’ โดยต่อยอดแนวคิดด้านการตลาดในปีที่ผ่านมาในส่วนของการเชื่อมต่อของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มธุรกิจของโอพีบีจี โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์กลุ่ม DIY ที่เอซุสเป็นเจ้าตลาดอยู่ ผ่านการนำเสนอนวัตกรรมที่เป็นที่สุดแห่งเทคโนโลยีในการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งภายในบ้านและอุปกรณ์สมาร์ทดีไวซ์แบบพกพา บนระบบ Cloud Service ในรูปแบบ Private Cloud หรือระบบคลาวด์ส่วนตัวของเอซุส ที่ช่วยเอื้อประโยชน์ให้ผู้บริโภคสามารถจัดการไฟล์คอนเท้นต์ที่เก็บไว้ได้ด้วยตนเอง รวมถึงการแบ่งปันสู่บุคคลอื่นๆ ผ่านทางฟีเจอร์ ‘ASUS AiCloud’ ที่มีบนสมาร์ทดีไวซ์ชื่อดังต่างๆ โดยระบบนี้จะเปลี่ยนเร้าท์เตอร์ให้กลายเป็นศูนย์กลาง (Backbone) ของการใช้งานทางด้านอินเตอร์เน็ตและเครือข่ายภายในบ้านและนอกบ้าน รวมถึงวงเครือข่ายอุปกรณ์พกพาที่ลงทะเบียนไว้ ผ่านการรับส่งข้อมูลขนาดใหญ่ได้ในความเร็วสูงด้วยเทคโนโลยีบีบอัดขนาดของไฟล์และรับส่งข้อมูลใหม่ล่าสุด Wi-Fi 802.11ac นอกจากนี้ มาเธอร์บอร์ดจากเอซุสยังมีฟีเจอร์ ‘WiFi Go! และ Remote Go!’ที่สร้างการเข้าถึงคอนเท้นต์ต่างๆ บนฮาร์ดดิสก์ของเครื่องพีซี ไม่ว่าจะเรียกดูจากอุปกรณ์สมาร์ทโฟน แท็บเบล็ต หรือโน้ตบุ๊ค โดยฟีเจอร์ต่างๆ เหล่านี้ ช่วยสร้างระบบอันเป็นส่วนตัวและให้ความปลอดภัยสูงสุดอย่างไร้ขีดจำกัดที่ไม่ว่าสมาชิกคนไหนในบ้านก็สามารถเป็นผู้ดูแลระบบเองได้อย่างง่ายดาย ด้วยแนวคิดใหม่นี้ เอซุสได้ปฏิวัติความสามารถในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ในแบบเวอร์ชั่น 2.0 ได้อย่างแท้จริง เราจึงเชื่อว่าแนวคิดด้านการตลาดในคอนเซ็ปต์ “Home Solution 2.0” นี้จะสามารถตอบทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคได้ในทุกกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่ผู้ใช้งานระดับโปรเฟสชันนอล ผู้ใช้งานด้านเกมมิ่ง เอ็นด์ยูสเซอร์ทั่วไป รวมไปถึงผู้ใช้งานมัลติมีเดีย เพื่อความบันเทิงต่างๆ”
คุณมนต์ธีร์ กล่าวต่อไปว่า “สำหรับกลยุทธ์ด้านการตลาดของเรา ในปีนี้เราได้เพิ่มทีมงานที่เข้ามาดูแลในส่วนการตลาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากเรามีกลุ่มสินค้าภายใต้ความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น และเรายังคงสานต่อการทำตลาดที่เน้นการสร้างประสบการณ์และความประทับใจจากลูกค้าของเราด้วยนวัตกรรมและดีไซน์อันล้ำหน้า รวมถึงฟีเจอร์ต่างๆ ในผลิตภัณฑ์ของเราที่ใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในตลาดขณะนั้น โดยบริษัทฯ จะไม่สร้างการแข่งขันด้านราคา แต่จะเน้นมูลค่าเพิ่มจากความแตกต่างและฟีเจอร์พิเศษให้กับผลิตภัณฑ์ รวมถึงผลประโยชน์ที่เหนือกว่าแบรนด์อื่นๆ สำหรับผู้บริโภค และสำหรับช่องทางการจัดจำหน่ายในปีนี้ เราได้เพิ่มตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์มาเธอร์บอร์ดและมัลติมีเดียของเรา คือบริษัทเอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ SIS ซึ่งจะช่วยให้ช่องทางการจัดจำหน่ายของเรามีความครอบคลุมทั่วถึงมากขึ้น โดยทางหน้าร้านของ SIS จะเน้นการจัดดิสเพลย์และการสาธิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายของเราได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัสกับผลิตภัณฑ์ของเราอย่างใกล้ชิด และสามารถจดจำแบรนด์และคุณสมบัติพิเศษต่างๆ ของผลิตภัณฑ์จากเอซุส ก่อนตัดสินใจซื้อได้ โดยเราให้การสนับสนุนคู่ค้าของเราอย่างต่อเนื่องในการเข้าไปอบรมความรู้เกี่ยวกับข้อมูลผลิตภัณฑ์ เทคนิคการขาย และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับคอนเซ็ปต์และผลประโยชน์จากสินค้าต่างๆ อย่างใกล้ชิด รวมถึงการสาธิตผลิตภัณฑ์แบบ Life Demo ที่จะช่วยให้เห็นภาพพจน์ของการทำงานและฟังก์ชั่นต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเรามีเป้าหมายให้ดีลเลอร์สามารถถ่ายทอดความรู้และคุณสมบัติต่างๆ ให้แก่ลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ”
“เรายังได้เพิ่มจำนวนศูนย์ซ่อมผ่านทางพันธมิตรต่างๆ เพื่อช่วยลดระยะเวลาในการซ่อมให้รวดเร็วขึ้น รวมถึงการเปิดบริการงานซ่อมเฉพาะสำหรับกลุ่มผู้ใช้สินค้าซีรีส์พรีเมี่ยมเกมมิ่งจากแบรนด์ ROG โดยเฉพาะ ด้วยบริการ “ROG Plus” ที่จะช่วยยกระดับการบริการให้เหล่าสมาชิกรู้สึกเป็นคนพิเศษ โดยมุ่งเน้นการสร้างความสะดวกรวดเร็วในการซ่อมแซม
สินค้า ROG ผ่านช่องทางเฉพาะที่ไม่ต้องเข้าคิวรอร่วมกับสินค้าของเอซุสทั่วไป โดยบริการใหม่นี้จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนมีนาคมของปีนี้” คุณมนต์ธีร์ กล่าวเสริม
“ในส่วนของนวัตกรรมสินค้าที่เป็นไฮไลท์ในปี 2556 นี้ เรามีไลน์อัพผลิตภัณฑ์มากมายที่ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจในงานมหกรรมแสดงสินค้าระดับโลก CES 2013 ที่เมืองลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยสินค้าจากเอซุสในส่วนของโอพีบีจีได้กวาดรางวัลยอดเยี่ยมด้านนวัตกรรมและดีไซน์อย่างมากมาย อาทิ จอแสดงภาพ ‘ASUS Designo Series MX279H’ ขนาด 27 นิ้ว ที่มาพร้อมคุณภาพเสียงระหึ่มระดับสเตอริโอไฮไฟ B&O ICEPower จากความร่วมมือระหว่างทีมพัฒนาเทคโนโลยีระบบเสียงของเอซุสกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Bang & Olufsen และไลน์อัพสินค้าอันโดดเด่นที่พร้อมลงสู้ตลาดประเทศไทยในปี 2556 นี้ ประกอบด้วยสุดยอดกราฟฟิกส์การ์ดรุ่นลิมิทเต็ด เอดิชั่น ‘ROG ARES II’ ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Dual AMD® HD 7970 GHz Edition GPUs, เครื่องแปลงสัญาณดิจิตอลอะนาล็อก ‘ASUS Xonar Essence One MUSES Edition’ และเซ็ทหูฟังที่จะทำให้เสียงกระหึ่มเพื่อเพิ่มอรรถรส, คอมแพ็คมาเธอร์บอร์ดรุ่นจิ๋วแต่แจ๋ว ‘ASUS E2KM1I-DELUXE Mini-ITX’, ออลอินวันพีซี ‘ASUS Transformer AiO’ เครื่องแรกในโลกที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 และจอถอดได้ขนาด 18.4 นิ้ว ใช้งานเป็นแท็ปเล็ตระบบแอนดรอยด์ได้, เครื่องมีเดียสตรีมเมอร์ ‘ASUS Qube Google TV’ คุณภาพระดับไฮเดฟฟินิชั่น, จอแอลซีดีระดับโปรเฟสชันแนล “ASUS PA249Q ProArt” และ ‘VG248QE Fast Gaming monitor’ สำหรับคอเกมขาระห่ำ รวมถึงเร้าท์เตอร์ไร้สายแบบพกพาเครื่องเล็กที่สุดในโลก ‘ASUS WL-330NUL Pocket Router’ ที่ให้การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบออนเดอะโกที่สมบูรณ์แบบแก่ผู้ใช้งานที่เดินทางบ่อยๆ”
“ด้วยความแข็งแกร่งด้านนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ รวมถึงเป็นผู้ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในประเทศไทยในหมวดสินค้ามาเธอร์บอร์ด เราจะยังคงนำเสนอสุดยอดเทคโนโลยีที่ทันสมัยและได้มาตรฐานสากลออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ทางกลุ่มธุรกิจโอพีบีจีหวังว่าในปี 2556 นี้ เราจะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจากผลิตภัณฑ์ในหมวดต่างๆ ได้มากขึ้น พร้อมสร้างการเติบโตของรายได้รวมภายในสิ้นปีประมาณ 10% และรั้งตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ มาเธอร์บอร์ดและวีจีเอการ์ดได้อย่างต่อเนื่อง” คุณมนต์ธีร์ กล่าวทิ้งท้าย