เผลอแป๊บๆ Android 4.1-4.3 หรือเจ้า Jelly Bean อยู่กับเรามาปีครึ่งแล้วนะครับ และถึงแม้ว่ามันจะเป็น Android เวอร์ชั่นยอดนิยมในขณะนี้ (Market Share >50%) แต่ยังไงก็ต้องมีเวอร์ชั่นที่ใหม่กว่ามาแทนที่ Android 4.4 หรือ KitKat คือเวอร์ชั่นใหม่ที่ว่า วันนี้ PCToday จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ Android เวอร์ชั่นล่าสุดกันครับ
สวัสดีครับแฟนๆ PCToday ทุกท่าน สบายดีกันรึเปล่าครับ เดือนธันวาฯ ปีนี้อากาศเย็นสมเป็นหน้าหนาวดีแท้ ใครมีคู่ช่วงนี้เหมาะจะควงกันไปเที่ยวตามเขาตามดอยเลยทีเดียว คนที่ไม่มีคู่ก็ไปได้ครับ…แต่เกรงว่าไปแล้วตาจะลุกเป็นไฟเวลาไปเห็นคนอื่นเค้าจู๋จี๋กันน่ะสิ คนข้างๆ กระซิบว่าคนโสดไปเที่ยวดอยสิดี เผื่อไปได้แฟนที่นู่น…บรรยากาศมันให้ เหอๆ อันนี้ก็แล้วแต่คารมและดวงล่ะครับ
หลังจากผ่านช่วงเดือนตุลาฯ-พฤศจิกาฯ มาตลาดไอทีดูจะเงียบลงไปเล็กน้อยนะครับ ส่วนหนึ่งคงเพราะว่าบรรดาผลิตภัณฑ์ใหม่ต่างเปิดตัวไปเรียบร้อยหมดแล้ว ที่เหลือคือรอให้นักช็อปไปจับจ่ายกันในช่วงเทศกาลแบบนี้เนี่ยแหละ หลังๆ มานี้เห็นคนซื้อมือถือหรือแท็บเล็ตให้กันก็ไม่น้อย ได้ข่าวว่าช่วง Black Friday ที่ผ่านมาสินค้าที่ขายดีที่สุดคือแท็บเล็ต iPad ทั้งหลายนั่นเองครับ
แล้ว Android ล่ะ…
มือถือและแท็บเล็ต Android นั้นต้องบอกว่าขายได้เรื่อยๆ ครับ แต่ช่วง 2-3 เดือนนี้อาจจะดูเงียบๆ ไปเพราะโดนความเจิดจรัสของ Apple บดบังไปบ้างไม่มากก็น้อย กระนั้นทาง Android ก็มีทีเด็ดอยู่อย่าง 2 อย่างซึ่งก็คือมือถือ Nexus รุ่นใหม่อย่าง Nexus 5 และ OS Android เวอร์ชั่นล่าสุดที่เปิดตัวพร้อมๆ กันคือ Android 4.4 โค้ดเนม KitKat
สำหรับคนที่สนใจฮาร์ดแวร์แล้ว Google Nexus 5 ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยครับ เพราะอย่างที่รู้กันว่า Google Phone นั้นเป็นเหมือนต้นแบบหรือพิมพ์เขียวสำหรับมือถือรุ่นอื่นๆ ดังนั้นสเปกของมือถือ Nexus สามารถบ่งบอกเทรนด์หรือทิศทางของตลาดมือถือ Android ในอนาคตได้เลย ตัวอย่างก็เช่นหน้าจอ 5 นิ้วของ Nexus 5 นั่นก็เป็นการตอกย้ำเทรนด์มือถือจอใหญ่
คิดจะพักคิดถึง Android 4.4
Android เวอร์ชั่น 4.4 เมื่อแรกเปิดตัวนั้นทำให้หลายคนเซอร์ไพรส์ไม่น้อย เพราะเดิมทีคาดกันว่า Android ที่ Google จะเปิดตัวนั้นน่าจะเป็น Android 5.0 โค้ดเนม Key Lime Pie ที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าก่อนหน้านั้น Google เปิดตัว Android 4.2-4.3 ในฐานะ “Minor Update” และมีกระแสข่าวยืนยันว่า Android ตัวต่อจาก 4.3 จะเป็น “Major Update” ซึ่งกูรูหลายคนตีความว่าก็น่าจะอัพซีรี่ส์ของเวอร์ชั่นจาก 4.x เป็น 5.x ด้วย
แต่ก็อย่างที่เห็นกันล่ะครับว่า Android เวอร์ชั่นใหม่นี้คือเวอร์ชั่น 4.4 และโค้ดเนมของมันก็ชื่อเหมือนกับช็อคโกแลตยี่ห้อดังเสียด้วย หะแรกมีหลายคนใจคอไม่ดีว่าจะต้องมีคดีความฟ้องร้องกันหรือไม่ กลับกลายเป็นว่าทั้ง Google และ Nestle (เจ้าของเครื่องหมายการค้า KitKat) เค้าจับมือเป็นพันธมิตรกันโดยต่างช่วยกันโปรโมตกันและกันโดยไม่ต้องเสียตังค์ให้กันแม้แต่อัฐเดียว
ส่วนมือถือที่ได้กินช็อคโกแลตก่อนใครเพื่อนย่อมเป็น Nexus 5 ที่เปิดตัวพร้อมกัน มือถือและแท็บเล็ตตระกูล Nexus อย่าง Nexus 4, 7 และ 10 ก็ได้กิน KitKat ด้วยแน่นอน ส่วนยี่ห้ออื่นๆ นั้นต้องรบกวนเช็คกันถี่ๆ เพราะบางทีมีทั้งข่าวจริงและข่าวลวง แต่เชื่อว่าถ้าเป็นอุปกรณ์รุ่น High-end อย่าง SS Galaxy S4, HTC One ทั้งหลาย และ Sony Xperia ตระกูล Z พวกนี้น่าจะได้อัพเดตเป็นเวอร์ชั่น 4.4 แน่นอนครับ
มีอะไรใหม่ใน Android 4.4
ว่ากันมาตั้งนานแล้วทุกท่านคงอยากรู้แล้วใช่มั้ยครับว่า Android 4.4 KitKat มีฟีเจอร์อะไรใหม่ๆ ที่น่าสนใจกันบ้าง เราไปดูพร้อมๆ กันเลยครับ
1. UI ใหม่
เมื่อเป็น Major Update ดังนั้นย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องโฉมหน้ากันบ้าง จริงๆ แล้ว KitKat ก็ไม่ได้ต่างจาก Jelly Bean แบบฟ้ากับเหว เพียงแต่มีปรับเปลี่ยนในหลายๆ จุด เช่น Status bar (ด้านบน) กับบริเวณ Navigation bar (ด้านล่าง) เป็นแบบใสอย่างที่หลายๆ คนอยากให้เป็นมานานแล้ว ไอคอนนั้นก็ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมด้วย (ดูจากรูปมองไม่ค่อยออกครับ ต้องไปลองจับถึงจะรู้) Font ก็เปลี่ยนใหม่ (เป็น Roboto Condensed) ดูคมขึ้นและให้ความรู้สึกจริงจัง
ก็อย่างที่รู้กันว่าอุปกรณ์ Nexus นั้นเค้าจะได้ UI แบบ Stock หรือดิบๆ ส่วนหนึ่งของ UI ใหม่ใน KitKat คือ Google Experience Launcher ซึ่งถ้าจะบอกว่าเป็น Launcher ตัวนึงก็ไม่ผิด หน้าตานั้นก็ยังเน้นไปทาง Minimalism เหมือนเคยเพียงแต่ว่ามันผสานการทำงานร่วมกับฟีเจอร์อื่นๆ ของ Google อย่าง Search และ Now ด้วย
เมื่อเป็น Launcher ตัวนึงก็แปลว่าเราสามารถใช้กับอุปกรณ์ Android ยี่ห้อไหนรุ่นใดก็ได้ที่เป็นเวอร์ชั่น 4.1 ขึ้นไป ตอนนี้เราสามารถโหลดไฟล์ apk มาติดตั้งทดลองใช้กันก่อนได้แล้วนะครับ (จากที่นี่ https://d-h.st/Vsr เป็นต้น) แต่เรื่องหน้าตาและความสามารถก็จะไม่เหมือนกับใน KitKat เสียทีเดียวนะครับ อย่างเรื่องแถบบนล่างก็จะไม่ใส และฟีเจอร์ Google Search ก็จะไม่เป็นแบบ “always listening” (ดู Widget Google Search จะไม่มีคำว่า “Ok Google”)
เรื่อง UI นี่อาจจะพูดเยอะหน่อยนะครับ แต่อย่างว่าคือพอเป็น Major Update เค้าเลยปรับเปลี่ยน UI ไม่น้อย อย่างสีตามแถบ เมนู หรือไอคอนต่างๆ ที่เคยเป็นสีฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีดำ เทา หรือขาวครับ เรียกว่ามาแนว Black&White เลย
2. Dial Search
Android 4.4 มาพร้อมกับ Dialer ตัวใหม่ซึ่งช่วยให้เราค้นหาชื่อคนหรือบริษัทได้จาก Dialer โดยตรง ตรงนี้ก็เหมือนรวมความสามารถของ Dialer แบบเดิมเข้ากับ Google Search หละครับ
3. SMS ด้วย Hangouts
เผื่อบางคนยังไม่รู้นะครับ…ว่า Google Hangouts นั้นมาแทน Google Talk แต่ทว่า Google ยังวางแผนไปอีกขั้นใน KitKat คือสามารถใช้ Hangouts รับ-ส่ง SMS รวมถึงเป็นโปรแกรม Messaging (อย่างพวก Line, FB Messenger, WhatsApp ฯลฯ) ซึ่งตรงนี้ Google ทำมาเพื่อสู้กับ Facebook ที่ก่อนหน้านี้ให้เราสามารถใช้ FB Messenger รับ-ส่ง SMS ได้เช่นกัน เรียกว่าทำออกมากันท่า Facebook โดยเฉพาะก็ว่าได้
4. Printing
นี่ก็เป็นอีกฟีเจอร์นึงที่ Google จับใส่ใน KitKat หลังจากทดลองใช้กันมาพักโต ฟีเจอร์ Printing นั้นก็ตามชื่อมันคือเอาไว้ปรินท์งาน โดยคราวนี้จะรวมความสามารถของทั้ง Google Cloud Print และ HP ePrint (ซึ่งก็ความสามารถปรินท์ผ่านเน็ตเวิร์คเหมือนกัน) แต่ทำให้รองรับปรินเตอร์ในอนาคตได้ง่ายขึ้น เช่น เราอาจติดตั้งแอพฯ ของปรินเตอร์ยี่ห้อนั้น (คล้ายๆ กับการติดตั้งไดรเวอร์ในพีซี) เพื่อให้ใช้งานปรินเตอร์ได้ทันที
5. เลือกไฟล์…ง่ายกว่าเดิม
Google ปรับปรุงการเลือกไฟล์หรือ File Picker ใน Android ให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเราสามารถเลือกไฟล์ได้ทั้งจากในตัวเครื่องและ Storage ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบ Local อย่าง SD Card หรือ Cloud ซึ่งในแบบ Cloud นั้น แน่นอนว่าบิ๊กเนมอย่าง Google Drive, Dropbox, MS SkyDrive หรือแม้แต่ Box ย่อมรองรับอยู่แล้ว นอกจากนี้ Google ยังบอกว่ารองรับบริการ Cloud Storage ได้ทุกบริการ (แต่อาจจะต้องเพิ่มเข้าไปเอง) อีกด้วย
6. โหมด Immersive
Immersive Mode นั้นคือความสามารถซ่อน Status bar และNavigation bar ด้านล่างเพื่อให้เราสามารถใช้พื้นที่หน้าจอได้เต็มที่ ฟีเจอร์นี้สามารถประยุกต์ใช้งานได้หลากหลายครับ อย่างคนที่ชอบอ่านหนังสือก็จะทราบว่ามันคล้ายๆ กับโหมด Reading ในหลายๆ โปรแกรม แต่นอกจากนั้นฟีเจอร์นี้ยังสามารถนำไปใช้กับการเล่นเกมส์หรือเล่นวิดีโอได้ด้วย
เมื่อใช้งาน Immersive Mode นั้น Android จะรองรับ Gesture เพิ่มอีก 2 แบบด้วยกันคือ เมื่อ Swipe จากขอบบนลงมาก็จะโชว์ Status bar และเมื่อ Swipe จากขอบล่างขึ้นบนก็จะโชว์ Navigation bar ครับ
7. แอพฯ Email ปรับปรุงใหม่ (เสียที)
หลายคนคงรู้สึกดีใจที่ Google ปรับปรุงแอพฯ Email เสียที เพราะก่อนหน้านี้ยูสเซอร์จำนวนไม่น้อยบ่นว่ามีก็เหมือนไม่มี…มีไปทำเผือกอะไร อันนี้คงบอกได้ว่าแอพฯ นี้ดีหรือไม่ดีขนาดไหน สิ่งที่ Google ปรับปรุงเป็นอย่างแรกคือหน้าตา ตอนนี้แอพฯ Email หน้าตาดูดีขึ้นแทบจะเหมือนแอพฯ Gmail จนแทบจะก๊อปกันมาเลย นอกจากนี้ทั้งปุ่มและแถบต่างๆ ก็เหมือนกับแอพฯ Gmail เชื่อว่าคนที่ปันใจไปใช้แอพฯ 3rd-party อย่าง K-9 (เช่นผม) คงต้องมีรีเทิร์นกันหละ
8. Tap & Play
Tap & Play นั้นเป็นออฟชั่นใหม่ในหน้า Settings ซึ่งอนุญาตให้แอพฯ สามารถเข้าถึง NFC smart card ได้ พูดง่ายๆ คือทุกๆ แอพฯ สามารถใช้งาน NFC ได้ (แต่อุปกรณ์นั้นต้องรองรับ NFC ด้วยนะครับ) ในอีกความหมายนึงคือทุกๆ แอพฯ สามารถใช้งานแอพฯ อย่าง Google Wallet ได้ ถ้ามองในภาพรวมฟีเจอร์นี้ก็เป็นจิ๊กซอร์อีกชิ้นที่ Google วางมาเพื่อให้ Android มีความเป็น “Google” ตามที่เค้าว่า
9. ลดการใช้แรม
อันนี้เป็นฟีเจอร์ที่เรามองไม่เห็นทำงานอยู่ลึกลงไปในตัว OS หลายท่านคงอาจจะทราบแล้วด้วยว่า Google ออกแบบ KitKat มาให้ใช้แรมน้อยกว่าเดิมคือแค่ 512MB คนจำนวนไม่น้อยตีความว่านี่หมายถึงมือถือ Android รุ่นเก่าๆ ที่มีแรมแค่ 512MB ก็สามารถอัพเป็น 4.4 ได้ใช่มั้ย ผมว่าไม่ใช่ครับ เพราะมองจากมุมของผู้ผลิตมือถือเค้าคงไม่พาตัวให้ลำบากมานั่งทำ OS ให้มือถือที่ตกรุ่นไปหลายปีแล้ว
ในความคิดผม Google คงเห็นแล้วว่าอุปกรณ์ Low-end มักไม่ได้ใช้และไม่สามารถอัพเป็น Android รุ่นใหม่ๆ เพราะติดที่แรมน้อย อุปกรณ์ Low-end นั้นย่อมขายได้มากโดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาเพราะราคาถูก ดังนั้นที่ Google ออกแบบ Android 4.4 (และน่าจะรวมถึงเวอร์ชั่นต่อๆ ไปด้วย) ให้ใช้แรมน้อยก็เพื่อที่ว่าจะได้รองรับอุปกรณ์ Android ระดับ Low-end (รุ่นใหม่ๆ) นั่นเอง
แน่นอนว่าอุปกรณ์ระดับ High-end ที่มีแรม 2-3GB ย่อมได้ประโยชน์ด้วยเพราะ KitKat ไม่ได้ใช้แรมน้อยลงอย่างเดียวแต่ยังใช้ได้อย่างคุ้มค่ามีประสิทธิภาพ นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ตอกย้ำว่า Android 4.4 KitKat นั้นเป็น Major Update ของแท้ ไม่ใช่แค่ Minor Update ที่ปรับเปลี่ยนแค่รูปโฉมแต่อย่างเดียว นอกเหนือจากการปรับ UI ฟีเจอร์ และการทำงานภายในแล้ว KitKat ยังปูทางให้ Google สอดใส่ผลิตภัณฑ์และบริการของตัวเองเข้าไปมากขึ้น จนออกเรียกได้ว่าเป็น Android ที่มีความเป็น “Google” มากที่สุดที่เคยมีมาก็ว่าได้ครับ