อะโดบี (Nasdaq:ADBE) ตอกย้ำถึงแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้นต่อนักการตลาดคอนเทนต์ โดยได้เผยแพร่รายงานการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคทั่วโลกใช้อุปกรณ์หลายหน้าจอมากขึ้น มีความอดทนน้อยลง และต้องการความบันเทิงมากขึ้น รายงานดังกล่าวซึ่งมีชื่อว่า “The State of Content: Rules of Engagement” (สถานะความพึงพอใจ: กฎเกณฑ์ในการดึงดูดผู้บริโภค) สำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคกว่า 12,000 คนใน 6 ประเทศ โดยนับเป็นหนึ่งในการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคทั่วโลกเกี่ยวกับดิจิตอลคอนเทนต์ที่กว้างขวางและครั้งใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม
จากการศึกษานี้ พบว่าผู้ใช้อุปกรณ์ดิจิตอลกว่า 8 ใน 10 จะยุติการรับชมเนื้อหาคอนเทนต์ในทันที หากว่าคอนเทนต์นั้นยาวเกินไปหรือรับชมได้ยากบนอุปกรณ์ต่างๆ และนอกจากนี้ยังพบว่า ผู้บริโภคมีความต้องการอย่างมากสำหรับคอนเทนต์ที่ปรับแต่งเป็นพิเศษจากแบรนด์ต่างๆ โดย 73 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าตนเองเปิดกว้างต่อการแนะนำคอนเทนต์จากแบรนด์ต่างๆ โดยอ้างอิงพฤติกรรมในอดีต และ 75เปอร์เซ็นต์เต็มใจที่จะเปิดเผยข้อมูลอย่างน้อยหนึ่งอย่างเกี่ยวกับตนเองเพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ดีกว่า รายงานฉบับเต็ม รวมถึง “กฎเกณฑ์ในการดึงดูดผู้บริโภค” สำหรับนักการตลาดคอนเทนต์ สามารถเข้าไปดูได้ที่ https://www.adobe.com/go/globalstateofcontent
นายแบรด เรนเชอร์ รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งของอะโดบี กล่าวว่า “ผลการศึกษานี้นับเป็นสัญญาณเตือนสำหรับนักการตลาดคอนเทนต์ในทุกๆ ที่ และแบรนด์ต่างๆ จำเป็นที่จะต้องได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค ใช้ดีไซน์ที่ดึงดูดใจ ปรับใช้การเชื่อมต่อที่ชาญฉลาดและเป็นไปตามการคาดการณ์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับประสบการณ์”
การใช้งานหลายหน้าจอ
ผู้บริโภคทั่วไปใช้อุปกรณ์โดยเฉลี่ยคนละ 5 เครื่อง และส่วนใหญ่ (83 เปอร์เซ็นต์) ใช้หลายอุปกรณ์ในเวลาเดียวกัน
- ผู้บริโภคทั่วโลกใช้อุปกรณ์โดยเฉลี่ย 2.23เครื่องในเวลาเดียวกัน และผู้บริโภคในสหรัฐฯ ที่ใช้จำนวนอุปกรณ์สูงสุดในเวลาเดียวกันอยู่ที่ 2.42 เครื่อง
- แม้ว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่จะรู้สึกดีเกี่ยวกับการใช้งานหลายหน้าจอ (81 เปอร์เซ็นต์รู้สึกว่าได้รับความบันเทิง, 80 เปอร์เซ็นต์รู้สึกว่าได้รับการเชื่อมต่อ,76 เปอร์เซ็นต์รู้สึกว่ามีประสิทธิภาพ) แต่เกือบครึ่งหนึ่ง (47 เปอร์เซ็นต์) ระบุว่าตนเองรู้สึกวอกแวกเมื่อใช้งานหลายหน้าจอ
ผู้บริโภครู้สึกคลางแคลงใจเกี่ยวกับเนื้อหาคอนเทนต์ส่วนใหญ่ที่ตนเองรับชมทางออนไลน์: ครึ่งหนึ่งของผู้บริโภค (50 เปอร์เซ็นต์) สงสัยว่าอาจมีการลบข้อคิดเห็นหรือรีวิวแง่ลบ ขณะที่ 49 เปอร์เซ็นต์สงสัยว่าผู้จัดทำคอนเทนต์อาจได้รับค่าตอบแทนสำหรับการเขียนรีวิวในแง่บวก และ 48 เปอร์เซ็นต์สงสัยว่าบทความข่าวนั้นๆ อาจมีความเอนเอียง
- ผู้บริโภคส่วนใหญ่ (81 เปอร์เซ็นต์)มองว่าการรับรองผลิตภัณฑ์โดยคนธรรมดามีความน่าเชื่อถือมากกว่าคนดัง
- ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะเชื่อเนื้อหาคอนเทนต์จากคนใกล้ชิดมากที่สุด เช่น เพื่อน หรือคนในครอบครัว (63 เปอร์เซ็นต์)
- มีผู้บริโภคเพียง 23 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เชื่อถือเนื้อหาคอนเทนต์จากบริษัทที่ตนเองไม่ได้ซื้อสินค้า แต่ราว 43 เปอร์เซ็นต์เชื่อถือคอนเทนต์จากบริษัทที่ตนเองซื้อสินค้า
อารมณ์ขันสร้างความผูกพัน
ผู้บริโภคทั่วโลกกว่า 2 ใน 3 คน (70 เปอร์เซ็นต์) เห็นพ้องต้องกันว่า อารมณ์ขันทำให้ผู้บริโภครู้สึกผูกพันกับบริษัทต่างๆ เพิ่มมากขึ้น แต่มีเพียง 14 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ระบุว่าคอนเทนต์ที่มีอยู่ในปัจจุบันจากแบรนด์ต่างๆ มอบความเพลิดเพลินใจ
- ผู้บริโภคทั่วโลกเกือบ 1 ใน 3 (29 เปอร์เซ็นต์) เชื่อว่าเนื้อหาคอนเทนต์ที่สร้างความบันเทิงมีความสำคัญมากกว่าความถูกต้อง
- ความบันเทิงได้รับความสำคัญมากเป็นพิเศษในฝรั่งเศส โดย 42 เปอร์เซ็นต์เชื่อว่าความบันเทิงคือสิ่งสำคัญมากกว่า
- ผู้บริโภคส่วนใหญ่ (64 เปอร์เซ็นต์) แชร์คอนเทนต์ทางออนไลน์ โดย 37 เปอร์เซ็นต์ระบุว่าตนเองชอบที่จะแชร์คอนเทนต์ที่สร้างเสียงหัวเราะให้แก่คนอื่นๆ ส่วนอีก 36 เปอร์เซ็นต์ชอบที่จะแชร์คอนเทนต์ที่พูดถึงประเด็นปัญหาที่มีความสำคัญต่อบุคคล
ผลการศึกษานี้ต่อยอดจากรายงาน “State of Content Study: Expectations on the Rise” (สถานะความพึงพอใจ: ความคาดหวังที่เพิ่มขึ้น) ของอะโดบี ซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อเดือนตุลาคม รายงานดังกล่าวเน้นย้ำถึงหลุมพรางที่อาจเกิดขึ้นสำหรับผู้สร้างคอนเทนต์ ขณะที่ผู้บริโภคในสหรัฐฯ มีความคาดหวังเพิ่มสูงขึ้นในเรื่องคุณภาพและดีไซน์ของคอนเทนต์
เกี่ยวกับรายงาน The State of Content: Rules of Engagement
“The State of Content: Rules of Engagement” เป็นรายงานชุดที่สองของผลการสำรวจความคิดเห็นทางออนไลน์ซึ่งแบ่งเป็นสองส่วน โดยมีการสอบถามความคิดเห็นจากผู้บริโภคอายุมากกว่า 18 ปี จำนวน 12,169 คน จาก 6 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร เยอรมนี ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น รายงานฉบับนี้ได้รับการมอบหมายจากอะโดบี และจัดทำโดยบริษัทวิจัย Edelman Berland ซึ่งดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลในช่วงวันที่ 12-29 กันยายน 2558 โดยค่าความผิดพลาดอยู่ที่ +/- 0.89% สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและกราฟิกในผลการวิจัย โปรดดูที่บล็อกและรายงาน ส่วนผลการศึกษาชุดแรกมีอยู่ที่นี่