นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด คาดการณ์ถึงผลการดำเนินงานประจำ ปี 2557 ว่าเอปสัน ประเทศไทย จะรับรู้รายได้จากทุกตลาดในภูมิภาคภายใต้การดูแลของบริษัทฯ จากการขายสินค้าทุกกลุ่มเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 17% ในขณะที่เฉพาะตลาดในประเทศไทย จะทำรายได้เพิ่มขึ้น 15% โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการที่สถานการณ์การเมืองเริ่มสงบ ทำให้การลงทุนของภาครัฐและเอกชนเริ่มกลับมา และหากแยกพิจารณาเป็นรายสินค้า โปรเจ็คเตอร์ อิงค์เจ็ตพรินเตอร์ และพรินเตอร์เพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม ล้วนแต่มีการขยายตัวไม่ต่ำกว่า 20% ซึ่งถือเป็นการเติบโตเกินกว่าที่บริษัทฯ ตั้งเป้าไว้ ทั้งยังเป็นการขยายตัวเข้าไปในกลุ่ม Mid to High มากขึ้น ได้แก่ องค์กรธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ หน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา และเอเจนซี่ต่างๆ
“สำหรับกลุ่มสินค้าที่เติบโตสูงสุด ได้แก่ โปรเจ็คเตอร์ ซึ่งโตถึง 28% เป็นผลมาจากการที่ตลาดหลายเซ็กเม้นท์ โดยเฉพาะกลุ่มสถาบันการศึกษา เอเจนซี่โฆษณา ออร์แกไนเซอร์ ได้ตระหนักถึงข้อได้เปรียบของเทคโนโลยี 3LCD ของเอปสันมากขึ้น เพราะต้องการการนำเสนองานที่มีคุณภาพ ความคุ้มค่าในการลงทุน และบริการหลังการขาย ที่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ เอปสันยังเป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวที่มีโปรเจ็คเตอร์มากที่สุด มากกว่า 70 รุ่น ครอบคลุม ตลาดทุกเซ็กเม้นท์ ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกรุ่นที่ตอบโจทย์การใช้งานและงบประมาณได้อย่างลงตัว ยอดขายที่ เติบโตในปีที่ผ่านมายังทำให้เอปสันสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งเพิ่มขึ้นเป็น 35%”
นายยรรยง กล่าวต่อ “ในกลุ่มพรินเตอร์อิงค์เจ็ตมีรายได้เพิ่มขึ้น 25% โดยมีปัจจัยจากการขยายตัวของ L-Series หรือเครื่องแท็งค์แท้ของเอปสัน ซึ่งเติบโตในตลาดต่างจังหวัดมากขึ้นเป็นเท่าตัวจากปี 2556 เนื่องจากในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เน้นจัดกิจกรรมสื่อสารการตลาดเพื่อมุ่งเปลี่ยนทัศนคติผู้ใช้ให้หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องต้นทุนของ หมึกพิมพ์มากขึ้น แทนที่จะสนใจแค่ราคาเครื่องพรินเตอร์ ซึ่งผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าพอใจมาก และบริษัทฯ จะยัง เดินหน้าให้ความรู้ตลาดใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการโปรโมทจุดเด่นของ L-Series ในด้านต้นทุนการพิมพ์ ต่อแผ่น คุณภาพการพิมพ์ คุณสมบัติพิเศษด้านต่างๆ ในปัจจุบัน เอปสันยังคงครองตำแหน่งผู้นำตลาดอิงค์เจ็ต พรินเตอร์ในด้านมูลค่าจากทั้งประเภทซิงเกิ้ลฟังก์ชั่นและมัลติฟังก์ชั่น ด้วยสัดส่วน 36%”
“ส่วนกลุ่มพรินเตอร์เพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรมทำรายได้เพิ่มขึ้น 20% จากที่บริษัทฯ เดินกลยุทธ์บุกตลาด เฉพาะทางมากขึ้น เช่น ตลาดพิมพ์ผ้าระบบดิจิตอล ซึ่งเอปสันได้จัดกิจกรรมให้ความรู้และสร้างประสบการณ์จริง ในการใช้เครื่องกับผู้ประกอบการและนักออกแบบไทย อย่างโครงการ F-Academy”
ในส่วนภาพรวมธุรกิจของเอปสันในตลาดต่างประเทศที่อยู่ภายใต้การดูแลของเอปสัน ประเทศไทย ได้แก่ประเทศ เวียดนาม พม่า กัมพูชา ลาว และปากีสถาน มีการขยายตัวเป็นที่น่าพอใจ ด้วยยอดรายได้รวมเพิ่มขึ้น 25% และมี เวียดนามเป็นตลาดที่โดดเด่นที่สุด
นายยรรยงกล่าวถึงทิศทางธุรกิจในปี 2558 ว่าเอปสัน ประเทศไทยตั้งเป้าเติบโตอยู่ที่ 15% โดยกำหนดยุทธศาสตร์ สำคัญทางธุรกิจไว้ 3 ด้าน ได้แก่ สินค้าที่มีมูลค่า การจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าแบบไร้พรมแดน และการเพิ่ม ความชื่นชอบให้กับแบรนด์ของเอปสัน
“ในด้านแรก สินค้าของเอปสันจะต้องตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์ ชูจุดแข็งทางด้านต้นทุน การใช้งานที่ไม่สูง ฟังก์ชั่นครบถ้วนรองรับงานทุกประเภท และความคงทนใช้งานได้คุ้มค่าเป็นเวลานาน ซึ่งจะช่วย ให้ลูกค้าองค์กรทุกประเภทตัดสินใจลงทุนกับเทคโนโลยีของเอปสันได้ไม่ยาก เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่การเป็นเศรษฐกิจ ดิจิตอล (Digital Economy) ตามนโยบายของรัฐบาลไทยที่ต้องการขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวหน้าสู่ความทันสมัย เพื่อประโยชน์กับเศรษฐกิจไทยในทุกด้าน”
ในปี 2558 สินค้าไฮไลท์ของเอปสันจะประกอบด้วยอิงค์เจ็ตพรินเตอร์ที่เน้นขยายเข้าไปสู่ตลาด Mid to High มาก ยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการพิมพ์งานทางธุรกิจที่ต้องการหมึกที่มีความคงทนและคุณสมบัติพิเศษด้านการพิมพ์ เพื่อเพิ่ม คุณภาพของงาน และยังต้องรองรับการพิมพ์งานในปริมาณมากด้วยความเร็วสูงทัดเทียมกับเครื่องถ่ายเอกสาร ส่วนพรินเตอร์ธุรกิจจะเน้นรุ่นพกพาและสามารถทำงานผ่านการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายทั้งแลนและคลาวด์ รวมถึง เครื่องพิมพ์ฉลากหรือลาเบลพรินเตอร์ความเร็วสูง ในส่วนของโปรเจ็คเตอร์ เอปสันจะมีเครื่องไฮเอนด์ความสว่างสูง กว่า 10,000 ลูเมนส์ และอินเตอร์แอคทีฟโปรเจ็คเตอร์ออกสู่ตลาดมากขึ้น สำหรับพรินเตอร์เพื่อการพาณิชย์และ อุตสาหกรรมมีไฮไลท์ที่เครื่องพิมพ์ระบบดิจิตอลสำหรับผ้าแบบม้วน และยังมีแนวทางรุกตลาด CAD/CAM สำหรับ งานออกแบบชิ้นส่วนแบบจำลองและเครื่องจักร
นายยรรยงกล่าวต่อ “สำหรับยุทธศาสตร์ด้านการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้า เอปสัน ประเทศไทยต้องการเชื่อม ทุกตลาดภายใต้การดูแลของบริษัทฯ เข้าเป็นตลาดใหญ่ตลาดเดียว โดยใช้จุดแข็งของประเทศไทยในการเป็น Hub ของภูมิภาคนี้เพื่อกระจายสินค้าไปสู่ตลาดโดยรอบ ซึ่งการเปิด AEC จะเอื้อประโยชน์ด้านภาษีนำเข้าลดลง บวกกับ การเปิดโครงการ “ระเบียงเศรษฐกิจอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง” หรือ GMS Economic Corridors ที่เชื่อมต่อเส้นทาง คมนาคมระหว่างเมืองสำคัญในกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง จะทำให้การกระจายสินค้าของเอปสันเป็นแบบไร้พรมแดน สินค้าจะไปถึงมือลูกค้าในแต่ละประเทศได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งยังมีราคาที่ถูกลง ตลาดและโอกาสในการ ขยายตัวของเอปสันในภูมิภาคนี้จึงยังเปิดกว้างอยู่อีกมาก”
“ยุทธศาสตร์ข้อสุดท้าย คือการสร้างความชื่นชอบในแบรนด์เอปสัน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความเติบโต อย่างมั่นคงและยั่งยืน เอปสันทั่วโลกสร้างธุรกิจจนเติบโตขึ้นได้บนพื้นฐานของความเชื่อมั่นของลูกค้า พันธมิตร ธุรกิจ และสังคมที่เอปสันอยู่ ความเชื่อมั่นจึงเป็นคุณค่าที่เอปสันยึดถือและทุ่มเทความพยายามและเวลาสร้าง ขึ้นมา ในปีงบประมาณ 2558 ที่จะเริ่มในเมษายนนี้จะเป็นการก้าวสู่ปีที่ 25 ของการก่อตั้งเอปสัน ประเทศไทย บริษัทฯ จึงได้กำหนดกลยุทธ์ในการสร้างแบรนด์โดยมุ่งตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนร่วมกับธุรกิจของเอปสัน ทุกฝ่าย ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจำหน่าย ลูกค้า และสังคม”
“ในส่วนของตัวแทนจำหน่าย (Channel) เอปสันจะมุ่งเสริมความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีและสินค้าใหม่ผ่านกิจกรรม ต่างๆ เช่นโครงการ Epson’s Expert II ที่เจาะโซลูชั่นสำหรับองค์กรธุรกิจ และ Epson Printing Innovation Learning Center ที่จะเริ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคมนี้ ที่เอปสัน ประเทศไทย ในขณะเดียวกันก็จะทำงานกับพาร์ทเนอร์เดิมและค้นหาพาร์ทเนอร์ใหม่ในการเจาะเข้าตลาดใหม่ๆ หรือทำธุรกิจในรูปแบบใหม่ด้วยกัน ทั้งยัง ขยายตลาดไปยังตลาดหัวเมืองใหญ่มากขึ้น” นายยรรยง กล่าว
“เช่นเดียวกับกลุ่มที่สองคือลูกค้า (Customer) เอปสันจะให้ความรู้กับกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เช่น หน่วยงานราชการ ขนาดเล็กและองค์กรธุรกิจผ่านกิจกรรมต่างๆ และสื่อออนไลน์มากยิ่งขึ้น รวมทั้งกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้สัมผัสกับประสบการณ์ตรงในการใช้บริการต่างๆ ของเอปสัน”
“และสำหรับสังคมวงกว้าง (Corporate Responsibility) เอปสันมีความจริงใจที่จะแสดงจุดยืนในการเป็นสมาชิก องค์กรที่ดีของสังคมไทย โดยยึดมั่นในหลักการทำธุรกิจอย่างมีคุณธรรม ซื่อสัตย์ และจริงใจ และรักษาแนวทาง การแข่งขันทางธุรกิจอย่างซื่อตรง ในด้านสิ่งแวดล้อม สินค้าของเอปสันทุกชิ้นถูกพัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็น มิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย และในด้านการตอบแทนคืนสังคม เอปสัน ประเทศไทยได้ดำเนินกิจกรรมที่ส่งเสริมเยาวชนไทยมาโดยตลอดทุกปี โดยในปีแห่งการครบรอบ 25 ปีนี้ บริษัทฯ ยังได้ริเริ่มโครงการ 25 Smart Classrooms ที่จะจัดสร้างโซลูชั่นเพื่อการเรียนรู้แบบอินเตอร์แอคทีฟแก่สถาบันการศึกษา 25 แห่งทั่วภูมิภาค รวมไป ถึงกิจกรรมชุมชนสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ”
“ยุทธศาสตร์ทั้งสามด้านที่กล่าวมาเป็นกลไกสำคัญที่จะสร้างธุรกิจของเอปสัน ไม่เพียงแต่ในประเทศไทย แต่ทั้ง ภูมิภาคนี้ให้เติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน บริษัทฯ ตั้งเป้าเติบโตในปี 2558 ไว้ที่ 15% และต้องการจะรักษาระดับการ เติบโตเช่นนี้ไปอีก 3 ปีข้างหน้า บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าตอนนี้เรามีองค์ประกอบทุกด้านอย่างครบถ้วนและแข็งแกร่ง ดังนั้นการก้าวสู่ปีที่ 25 นี้จึงเป็นเหมือนการเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ของเอปสัน ประเทศไทย ที่พร้อมจะรับความท้าทายใหม่ๆ ความรับผิดชอบที่มากขึ้น และรอรับความสำเร็จที่กำลังตามมา” นายยรรยง กล่าวทิ้งท้าย